หากพิจารณาจากระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโลกยุคใหม่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซของบริษัทบูรพาพาวเวอร์ถือว่า “ล้าสมัย” ไปแล้วโดยสิ้นเชิง บนกระดาษ โครงการนี้เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined Cycle) ขนาด 600 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.) เป็นระยะเวลา 25 ปี รายงาน EIA นี้พยายามอธิบายว่าโครงการนี้จำเป็นต่อความมั่นคงทางพลังงาน ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ “สะอาดกว่า” และผลกระทบสิ่งแวดล้อมรอบข้างสามารถควบคุมได้

แต่เมื่อเอา EIA ฉบับนี้มาวางเทียบกับโลกจริงในปัจจุบัน สถานการณ์กำลังผลิตไฟฟ้าล้นระบบอย่างเรื้อรัง ภาระคำมั่นด้านสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้น วิกฤต PM2.5 ที่รุนแรงขึ้น ความตึงเครียดของทรัพยากรน้ำและกรอบการเงินยั่งยืนใหม่ๆ เช่น Thailand Taxonomy รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซของบริษัทบูรพาพาวเวอร์ไม่ต่างอะไรจาก “ซากฟอสซิล” จากนโยบายพลังงานยุคเก่ามากกว่า หาใช่กลไกคุ้มครองสิ่งแวดล้อมไม่

นี่ไม่ใช่เพียงข้อบกพร่องเชิงเทคนิคเล็กน้อย แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง รายงาน EIA ที่ไม่สอดรับกับบริบทใหม่ของโลกไม่อาจเป็นฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการอนุมัติโรงไฟฟ้าฟอสซิลแห่งใหม่ซึ่งจะเดินเครื่องลากยาวไปจนถึงคริสตทศววรษ 2050 ได้เลย

ระบบไฟฟ้าที่ล้นเกินแต่รายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ยังทำเหมือนไฟฟ้าขาดแคลน

เริ่มจากคำถามพื้นฐานที่สุด เราจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้านี้จริงหรือ?

ข้อมูลล่าสุดสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยมีกำลังการผลิตติดตั้งสูงเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดมาก ในระดับประเทศ กำลังการผลิตตามสัญญามีเกินกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่หลายหมื่นเมกะวัตต์ ในภาคตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ กำลังผลิตไฟฟ้ารวมมีประมาณสองเท่าของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ส่วนในจังหวัดฉะเชิงเทรา โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ก็ผลิตไฟฟ้ามากกว่าหลายเท่าของการใช้ไฟฟ้าในจังหวัดอยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงปี พ.ศ.2567–2568 มีโรงไฟฟ้าก๊าซของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) บางแห่งที่ กฟผ. ไม่ได้ซื้อไฟเลยทั้งปีและอีกหลายแห่งที่ถูกสั่งเดินเครื่องในระดับต่ำกว่าศักยภาพและกำลังการผลิตตามสัญญาอย่างมาก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประเทศไทยจ่ายค่าความพร้อมจ่าย (capacity payment) ให้โรงไฟฟ้าก๊าซจำนวนมากทั้งที่ไม่ได้ถูกใช้เต็มกำลังด้วยซ้ำ

แต่รายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์กลับแทบไม่แตะประเด็นไฟฟ้าล้นระบบเลย อ้างเพียงกรอบแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เสมือนว่าระบบไฟฟ้าไทยยังอยู่ในยุคไฟฟ้าขาดแคลน ก่อนเผชิญกับกำลังผลิตล้นระบบ ไม่มีการวิเคราะห์กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอย่างจริงจัง ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมโรงไฟฟ้าก๊าซที่มีอยู่ถึงไม่ถูกใช้เต็มที่ และไม่มีการชี้ให้เห็นว่าการเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่อีกหนึ่งแห่งจะยิ่งซ้ำเติมภาระค่าไฟจากกำลังการผลิตส่วนเกินอย่างไร

รายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ที่ตอบไม่ได้แม้กระทั่งคำถามง่าย ๆ ว่าทำไมต้องเพิ่มโรงไฟฟ้าฟอสซิลในระบบที่ล้นอยู่แล้ว คงยากจะเรียกว่าเป็นเครื่องมือวางแผนพลังงานสมัยใหม่ได้เต็มปาก เป็นเพียง “ตรายาง” มากกว่า

ติดกับดักตัวเลือกเก่า: ถ้าไม่ถ่านหินก็ต้องก๊าซ?

อีกหนึ่งปัญหาหลักของรายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์คือกรอบการเปรียบเทียบทางเลือกที่ติดอยู่ในอดีตอย่างชัดเจน รายงานพยายามวางข้อถกเถียงว่า โครงการเดิมใช้ถ่านหินซึ่งสกปรกกว่า ปัจจุบันเปลี่ยนเชื้อเพลิงเป็นก๊าซธรรมชาติซึ่งสะอาดกว่า จึงเป็น “ทางเลือกที่ดีกว่า” นี่คือการสร้างสมมติฐานว่ามีแค่สองตัวเลือก “ถ่านหิน” หรือ “ก๊าซ”

แต่ในปี 2558 การตั้งโจทย์แบบนี้ถือว่าล้าหลัง

ประเทศไทยประกาศเลิกสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ไปแล้ว ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะฟาร์มโซลาร์และฟาร์มกังหันลม) เมื่อจับคู่กับระบบกักเก็บพลังงานและการบริหารจัดการด้านอุปสงค์ มีแนวโน้มถูกกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่ในมุมต้นทุนตลอดอายุโครงการ(LCOE) ด้วยซ้ำ และยังไม่มีภาระคาร์บอนในระยะยาว ปริมาณศักยภาพของโซลาร์รูฟท็อปในเขต EEC ก็ยังสูงอย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม EIA กลับไม่เคยเปรียบเทียบอย่างจริงจังเลยว่าถ้าใช้โซลาร์ฟาร์มกับ แบตเตอรี่แทนจะมีต้นทุนเท่าใด ถ้าใช้โซลาร์รูฟท็อปในสถานประกอบการและนิคมอุตสาหกรรมที่มีอยู่จะลดความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลใหม่ได้แค่ไหน ถ้าใช้การจัดการด้านความต้องการใช้ไฟฟ้า(Demand Side Management) และประสิทธิภาพพลังงานจะลดความต้องการสูงสุดได้มากเพียงใด และถ้าไม่มีโครงการเลย (no-project option) แล้วใช้กำลังการผลิตส่วนเกินที่มีอยู่ในระบบจะเป็นอย่างไร

รายงาน EIA ยังยึดกับกรอบคิดเก่า “ไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินก็ต้องเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซ” ทั้งที่ในโลกจริง ตัวเลือกพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและการบริหารจัดการความต้องการไฟฟ้ากลายเป็น “ตัวเลือกหลัก” ไปแล้ว การเฉไฉไม่พูดถึงจึงไม่ใช่แค่การมองข้ามแต่เป็นการนำเสนอภาพที่บิดเบือน

สภาพภูมิอากาศ : คำมั่นเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution (NDC 3.0) อยู่ไหนใน EIA?

นับตั้งแต่ EIA ฉบับนี้จัดทำขึ้น ประเทศไทยยกระดับความทะเยอทะยานทางสภาพภูมิอากาศหลายครั้ง ประเทศไทยได้ปรับปรุงเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด(Nationally Determined Contribution : NDC 3.0) ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ และประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ คำประกาศเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่หมายถึงข้อจำกัดที่เป็นจริงต่อโครงสร้างพื้นฐานฟอสซิลใหม่ทุกโครงการ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าก๊าซขนาด 600 เมกะวัตต์ที่มีอายุสัญญา 25 ปีซึ่งจะลากยาวไปจนถึงยุคที่เราต้องเข้าใกล้หรือบรรลุเป้าหมาย Net Zero

อย่างไรก็ตาม ในรายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ประเด็นว่าด้วยสภาพภูมิอากาศถูกลดรูปเหลือเพียงการนับปริมาณ CO₂ ที่ปล่อยจากปล่องต่อปีและเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าถ่านหินว่า “ปล่อยน้อยกว่า” แล้วก็จบเรื่อง ไม่มีคำอธิบายหรือการคำนวณว่าโครงการโรงไฟฟ้านี้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันกี่ล้านตันตลอด 25 ปี ปริมาณการปล่อยดังกล่าวกิน “งบประมาณคาร์บอน” ของภาคพลังงานและของประเทศไปเท่าใด การพึ่งพาก๊าซฟอสซิลเหลว(LNG)นำเข้าและการรั่วไหลของมีเทนต้นทางจะเพิ่มรอยเท้าคาร์บอนมากขึ้นอีกแค่ไหน รวมถึงความเสี่ยงจากนโยบายภูมิอากาศในอนาคต เช่น ภาษีคาร์บอน การจำกัดชั่วโมงเดินเครื่องโรงไฟฟ้า หรือการทบทวนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอาจทำให้โรงไฟฟ้ากลายเป็น ทรัพย์สินด้อยค่า (stranded asset) ได้อย่างไร

ในยุคที่เป้าหมาย 1.5°C และ Net Zero กลายเป็นกรอบคิดหลักสำหรับการวางแผนพลังงาน การพูดซ้ำๆ ว่า “ก๊าซสะอาดกว่าถ่านหิน” จึงไม่เพียงพออีกต่อไป คำถามที่ควรถามคือ “โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลใหม่นี้สอดคล้องกับเส้นทางไปสู่เป้าหมาย Net Zero หรือไม่?” ซึ่งรายงาน EIA เล่มนี้ไม่เคยตั้งคำถามด้วยซ้ำ

เกษตรและสุขภาพ : เมื่อ EIA มองไม่เห็นผู้คนและพืชในเงาควันปล่องไฟฟ้า

หนึ่งในจุดอ่อนที่สุดของรายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ คือวิธีที่พิจารณา “ภูมิทัศน์เกษตรกรรมรอบโรงไฟฟ้า”

ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากจุดตั้งโครงการโรงไฟฟ้ามีพื้นที่เกษตรกรรมรวมกว่าหนึ่งแสนไร่ ปลูกข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย สับปะรด ข้าวโพด ฯลฯ ผลผลิตรวมของเกษตรในสามตำบลหลักที่อยู่ในเขตผลกระทบมีมูลค่าเกินหนึ่งพันล้านบาทต่อปี พื้นที่กว้างออกไปกว่านั้นยังเป็นแหล่งปลูก “มะม่วงน้ำดอกไม้” ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียน GI และเป็นฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์สำคัญรวมทั้งมีศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ เป็นหัวใจของเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาค

แต่หากอ่านเฉพาะรายงาน EIA ภาพที่ได้กลับเป็นพื้นที่เกษตรทั่วไปที่ถูกลดทอนเหลือเพียงตัวเลขในผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่มีการแสดงให้เห็นมูลค่าเชิงเศรษฐกิจที่แท้จริงของผลผลิต ไม่มีการประเมินว่ามลพิษอากาศและ PM2.5 อาจกระทบต่อผลผลิตต่อไร่ คุณภาพสินค้าหรือความเชื่อมั่นของตลาดต่อสินค้า GI และสินค้าอินทรีย์อย่างไร

ในส่วนของมลพิษ โครงการโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะปล่อย NOₓ, SO₂ และฝุ่นขนาดต่าง ๆ จากปล่อง แม้ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงหลักก็ยังมีระดับมลพิษที่ไม่ธรรมดา NO₂ และ SO₂ ไม่ใช่แค่ก๊าซที่ทำร้ายระบบหายใจของคน แต่มันยังมีพิษต่อพืช (phytotoxic) ทำให้เกิดใบไหม้ การสังเคราะห์แสงลดลง และทำให้พืชอ่อนแอต่อโรค นอกจากนี้ NO₂ ยังเป็นสารตั้งต้นสำคัญของฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติขณะนี้

รายงาน EIA เลือกวิธีการจำลองความเข้มข้นมลพิษเฉลี่ยเทียบกับค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศรายวัน/รายปีของไทย จากนั้นสรุปว่ายังไม่เกินมาตรฐานแต่ไม่เคยขยับไปสู่คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือผลกระทบสะสมต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรในระยะยาวคืออะไร ภาระโรคจาก PM2.5 และโอโซนต่อคนทำงานกลางแจ้ง เด็ก ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวจะเพิ่มขึ้นเพียงใด

ในพื้นที่ที่มีผลผลิตการเกษตรปลอดภัยและมีคุณภาพ การไม่วิเคราะห์มิติเหล่านี้ถือเป็นช่องว่างทางนโยบายที่อันตรายมาก

ความตึงเครียดของทรัพยากรน้ำ

โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์จะใช้น้ำเฉลี่ยประมาณ 12,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวันหรือ 4.32 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ส่วนใหญ่เพื่อใช้ในระบบหล่อเย็น น้ำดังกล่าวจะมาจากการสูบน้ำของบริษัทเอกชนจากคลองระบมแล้วเก็บไว้ในบ่อพักน้ำของโครงการโรงไฟฟ้า หากดูแต่ในรายงาน EIA อาจรู้สึกว่าก็เป็นเพียงการใช้น้ำอุตสาหกรรมตามปกติ

แต่ข้อมูลด้านอุทกวิทยาของจังหวัดฉะเชิงเทรากลับสะท้อนอีกภาพหนึ่งที่แตกต่างไปอย่างมาก หลายปีมานี้ ปริมาณน้ำใช้การในอ่างเก็บน้ำหลัก เช่น อ่างคลองระบมและคลองสียัดลดลงเหลือระดับวิกฤตในช่วงหน้าแล้ง หลายเดือนเหลือน้ำใช้การเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของความจุอ่าง ขณะที่การศึกษาสมดุลน้ำในภาคตะวันออกชี้ชัดว่าคลองระบมอยู่ในสถานะ “ขาดแคลนน้ำแทบทุกเดือน” เมื่อรวมความต้องการใช้น้ำภาคเกษตร อุตสาหกรรม และระบบนิเวศเข้าไปด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบลุ่มน้ำที่เชื่อมโยงกัน เช่น คลองท่าลาด ก็ใช้ทั้งเพื่อการชลประทานและการประปาส่วนภูมิภาคหลายสาขา พลวัตรของระบบน้ำจากต้นน้ำอย่างคลองระบมจึงส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อทั้งเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่กว้าง

รายงาน EIA กลับเลือกพูดถึงการใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าในแง่มุมของโครงการเอง นับปริมาณรายปี ระบุว่าจะมีบ่อพักน้ำ ไม่มีการวิเคราะห์สมดุลน้ำในระดับลุ่มน้ำอย่างจริงจัง ไม่มีการจำลองสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรง ไม่มีการประเมินว่าการดึงน้ำออกไปอีก 4.32 ล้าน ลบ.ม./ปี จะกระทบความเชื่อมั่นด้านน้ำของเกษตรกรและระบบประปาอย่างไร

ในบริบทปัจจุบันที่ภัยแล้งและเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมีแนวโน้มถี่และรุนแรงขึ้น การทำรายงาน EIA โดยไม่ยึดมิติลุ่มน้ำจึงไม่เพียงแต่ล้าสมัย แต่คือการไร้ซึ่งความรับผิดชอบ

การเงินยั่งยืนเดินไปข้างหน้า แต่กระบวนการจัดทำ EIA ยังหยุดอยู่ที่เดิม

อีกมิติหนึ่งที่หายไปจากรายงาน EIA อย่างสิ้นเชิงคือ “มิติการเงิน” ความจริงแล้ว โครงการอย่างบูรพาพาวเวอร์จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินรูปแบบอื่น ๆ ธนาคารไทยจำนวนมากเคยปล่อยกู้โรงไฟฟ้าก๊าซทั้ง SPP และ IPP มาแล้วหลายโครงการ ขณะเดียวกัน ธนาคารกลุ่มเดียวกันนี้ก็ร่วมลงนามในกรอบ “ธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ประกาศใช้นโยบาย ESG และอ้างอิงมาตรฐานสากล เช่น Equator Principles และกรอบในประเทศอย่าง Thailand Taxonomy

ภายใต้ Thailand Taxonomy การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรวมถึงโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่ ถูกจัดให้อยู่ในประเภท “กิจกรรมสีแดง” คือกิจกรรมที่เป็นโทษต่อสิ่งแวดล้อมและไม่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวด้านสภาพภูมิอากาศ ธนาคารที่ยังเลือกปล่อยกู้กิจกรรมสีแดงถูกคาดหวังให้ต้องมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน ทั้งด้านการเปลี่ยนผ่าน (transition risk) และด้านชื่อเสียง (reputational risk)

รายงาน EIA ของบูรพาพาวเวอร์ไม่แตะเรื่องเหล่านี้เลย ไม่พูดถึงเลยว่ากิจกรรมหลักของโครงการจัดอยู่ในกลุ่ม “สีแดง” ตาม Taxonomy ไม่วิเคราะห์ว่าความเสี่ยงด้านนโยบายภูมิอากาศ วิกฤตน้ำ หรือข้อพิพาทด้านสุขภาพ–สิ่งแวดล้อม อาจกระทบความสามารถในการชำระหนี้ของโครงการอย่างไร ไม่เปิดประเด็นว่าการปล่อยกู้ให้โรงไฟฟ้าก๊าซใหม่อาจสวนทางกับคำมั่นด้าน ESG ของธนาคารใดบ้าง

ในโลกปี 2568 ที่ผู้ลงทุนและหน่วยกำกับดูแลเริ่มจับตา “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สถาบันการเงินเป็นผู้สนับสนุน (financed emissions)” การทำรายงาน EIA โดยทำเหมือนบริบทการเงินไม่เกี่ยว ถือว่าล้าหลังเกินรับได้ สำหรับโครงการฟอสซิลขนาดใหญ่ รายงาน EIA อย่างน้อยควรต้องส่งสัญญาณเตือนมิติเหล่านี้ให้สาธารณะได้รับรู้ แต่รายงานเล่มนี้กลับเงียบกริบ

ทางแยกสำคัญ : จะคงระบบ EIA แบบโลกเก่า หรือยกระดับธรรมาภิบาลในยุคใหม่?

อนึ่ง รายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ไม่ใช่เอกสารที่เลวร้ายอย่างยิ่งหากเทียบกับมาตรฐานรายงาน EIA ของโครงการพลังงานในภูมิภาคช่วง 10–20 ปีที่ผ่านมาทั้งรูปแบบ การนำเสนอข้อมูลและวิธีการวิเคราะห์ผลกระทบล้วนแล้วแต่หน้าตาคล้ายกัน และนี่เองคือปัญหาที่แท้จริง

โลกเดินไปข้างหน้า ระบบการผลิตไฟฟ้าของไทยมีกำลังผลิตส่วนเกิน ภาระคำมั่นด้านภูมิอากาศเข้มงวดขึ้น PM2.5 กลายเป็นวิกฤตสาธารณสุขอันดับต้น ๆ ความไม่มั่นคงของน้ำส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและชุมชนทุกปี ภาคการเงินถูกดึงเข้ามารับผิดชอบต่อพอร์ตฟอสซิลของตนเองผ่าน Taxonomy และการเปิดเผยข้อมูล

ในบริบทเช่นนี้ การมีรายงาน EIA ที่สมมติเอาเองว่าการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิลคือสิ่งจำเป็น เปรียบเทียบทางเลือกระหว่างถ่านหินกับก๊าซ ลดทอนเรื่องภูมิอากาศเป็นประเด็นรอง พิจารณาประเด็นเกษตร–สุขภาพ–น้ำเพียงผิวเผิน ไม่แตะมิติการเงินยั่งยืนและ Taxonomy เลยนั้นจึงไม่ใช่เพียง “เอกสารทางเทคนิคที่ยังไม่อัปเดต” แต่กลายเป็น “เครื่องมือขึงตรึงสังคมไทยไว้กับตรรกะพลังงานยุคเก่า”

หน่วยงานกำกับดูแลโดยเฉพาะอย่างคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)มีทางเลือกอยู่ตรงหน้า กล่างคือ กกพ. จะปฏิบัติต่อรายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ในฐานะเอกสารที่พอใช้ได้แล้วปล่อยให้โรงไฟฟ้าก๊าซอีกหนึ่งแห่งล็อกอินการปล่อยคาร์บอน การใช้น้ำและความเสี่ยงทางการเงินไปอีก 20–25 ปี หรือจะใช้โอกาสนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ในยุคที่ไฟฟ้าล้นระบบ วิกฤตสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรง และทรัพยากรน้ำตึงเครียด รายงาน EIA ที่ไม่อัปเดตบริบทโลกนั้นไม่ควรได้รับความเห็นชอบ

หากประเทศไทยจริงจังกับเป้าหมายสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงอาหารและน้ำ และคำมั่นเรื่องการเงินยั่งยืน รายงาน EIA ที่ล้าสมัย ไม่อิงข้อเท็จจริงใหม่ ไม่ควรถูกใช้เป็นฐานตัดสินใจให้โรงไฟฟ้าฟอสซิลเดินหน้าในศตวรรษนี้อีกต่อไป