เรียบเรียงจาก https://www.theguardian.com/us-news/2024/apr/18/plastic-production-emission-climate-crisis?CMP=Share_iOSApp_Other

Heather McTeer Toney ผู้อํานวยการบริหารของแคมเปญ Beyond Petrochemicals ของ Bloomberg Philanthropies ซึ่งช่วยสนับสนุนรายงานฉบับใหม่กล่าวว่าการคาดการณ์ล่าสุดจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ ให้หลักฐานเพิ่มเติมว่าอุตสาหกรรมพลาสติกกําลัง “บ่อนทําลายความพยายามระดับโลกในการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”
การผลิตพลาสติกซึ่งทําจากเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้มข้น อย่างแรกต้องขุดเจาะและสกัดถ่านหิน น้ํามัน หรือก๊าซฟอสซิลก่อน จากนั้น วัสดุเหล่านั้นต้องนำมากลั่นและแปรรูปในขั้นตอนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษอย่างหนัก ในบางกรณี ยังเกิดสารประกอบทางเคมีอื่นๆ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ และสร้างมลพิษมากขึ้น
จากนั้นสารปิโตรเคมีจะถูก “แยก” เป็นหน่วยพื้นฐานของพลาสติก เช่น เอทิลีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งการผลิตพลาสติกที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมมาจากกระบวนการโพลีเมอไรเซชัน ซึ่งรวมหน่วยพื้นฐานเหล่านั้นเพื่อสร้างโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้น จากนั้นก็นำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติก
เพื่อประมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลาสติก นักวิจัยตรวจสอบผลกระทบของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของพลาสติกชนิดที่พบมากที่สุดซึ่งใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์พลาสติก ขวดน้ํา ภาชนะบรรจุเครื่องดื่มร้อน และวัสดุอื่น ๆ
รายงานพบว่า การสร้างพลาสติกปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.24 กิกะตันในปี 2562 หรือมากเท่ากับโรงไฟฟ้าถ่านหิน 600 โรง คิดเป็น 5% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก 12% ของความต้องการน้ํามันของโลก และ 8.5% ของความต้องการก๊าซฟอสซิล
คาดการณ์ว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(จากการผลิตพลาสติก)จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก รายงานกล่าว เนื่องจากอุตสาหกรรมพลาสติกอยู่ในเส้นทางการเติบโตแบบทวีคูณ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือสามเท่าภายในปี 2593
หากการผลิตพลาสติกเพิ่มขึ้น 4% ทุกปี เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายใน 25 ปีข้างหน้า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจแตะ 6.78 กิกะตันภายในปี 2593 ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงไฟฟ้าถ่านหินมากกว่า 1,700 แห่ง
การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของระบบโครงข่ายไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์ซึ่งเป็นจุดสนใจหลักของแผนนโยบายสภาพภูมิอากาศโลกนั้นสามารถจํากัดผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศนี้ได้ แต่โลกก็ยังอยู่บนเส้นทางที่อันตราย นักวิจัยระบุว่า มากถึง 70% ของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ในการสร้างพลาสติกมาจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ไม่ใช่จากไฟฟ้าที่ใช้ในกระบวนการแปรรูปพลาสติก
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าโลกจะบรรลุการผลิตไฟฟ้าที่ปราศจากคาร์บอนอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2593 การผลิตพลาสติกจะก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5.13 กิกะตันในปี 2593 ภายใต้ฉากทัศน์การเพิ่มการผลิตพลาสติก 4% ต่อปี
การศึกษายังพบว่า การป้องกันมิให้การผลิตพลาสติกเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งอาจช่วยลดผลกระทบนี้ได้ แต่แม้ว่าการผลิตพลาสติกจะอยู่ในอัตราคงที่ ภายในปี 2593 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผลิตพลาสติกจะคิดเป็น 15-19% ของงบประมาณคาร์บอนทั่วโลกที่มีอยู่เพื่อคงอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไว้ที่ 1.5C
แม้จะมีระบบการผลิตไฟฟ้าที่ปราศจากคาร์บอนอย่างสมบูรณ์ สัดส่วนดังกล่าวนั้นก็ยังอาจสูงถึง 16%
รายงานดังกล่าวเผยแพร่ก่อนการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลครั้งที่ 4 (INC4) สําหรับสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่จะเริ่มในสัปดาห์หน้าในเมืองออตตาวา แคนาดา
Neil Tangri ผู้อํานวยการด้านวิทยาศาสตร์และนโยบายขององค์กรความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม Global Alliance for Incinerator Alternatives ซึ่งเป็นผู้ทบทวนรายงาน กล่าวว่า ผลจากการศึกษาเป็นที่ชัดเจนว่าการผลิตพลาสติกเป็น “ลูกบอลที่สร้างหายนะต่อระบบสภาพภูมิอากาศของเรา” และ Neil หวังว่าผลการศึกษานี้จะมีอิทธิพลต่อการเจรจาที่จะเกิดขึ้น
“รายงานนี้ช่วยให้คณะเจรจามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับความจําเป็นในการยุติและชะลอการขยายตัวของการผลิตพลาสติก” เขากล่าว
ในการวิเคราะห์สั้นๆ ที่กําลังจะมีขึ้น องค์กรของ Tangri พบว่าการคาดการณ์ในรายงานชี้ให้เห็นว่าการผลิตพลาสติกจะใช้งบประมาณคาร์บอนของโลกจนหมดสิ้นก่อนสิ้นศตวรรษ แต่รายงานยังแนะนําว่าการลดการผลิตพลาสติกจะเกิดประโยชน์ด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมหาศาล Tangri กล่าว
“หากสนธิสัญญานี้มีผลทางกฏหมายให้บริษัทต่างๆ ลดการผลิตพลาสติกลงอย่างมีนัยสำคัญ – อย่างน้อย 12% ต่อปีจากการคํานวณของเรา – เราจะสามารถรักษาเป้าหมาย 1.5C ของโลกและยับยั้งผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศของพลาสติกได้” เขากล่าว
การลดการผลิตพลาสติกจะมีผลกระทบเชิงบวกอื่น ๆ รวมถึงด้านสาธารณสุข
“ปิโตรเคมี ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของพลาสติก ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชุมชนที่ตั้งอยู่รอบเขตโรงงานอุตสาหกรรมด้วยมลพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง” โทนีย์กล่าวในแถลงการณ์ทางอีเมล “ผลที่ตามมาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเสรีในอุตสาหกรรมนี้จะส่งผลกระทบถึงทุกคนบนโลกใบนี้”
พลาสติกยังก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกในช่วงที่ผลิตภัณฑ์สิ้นสุดอายุการใช้งาน หากนำไปเผาในเตาเผาขยะหรือส่งไปยังหลุมฝังกลบ
แม้จะมีผลกระทบต่อระบบสภาพภูมิอากาศอย่างมหาศาล แต่ข้อเสนอปัจจุบันที่จะลดมลพิษพลาสติกภายใต้สนธิสัญญาพาสติกโลกซึ่งถือว่าเป็นความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สําคัญที่สุดนับตั้งแต่ความตกลงด้านสภาพภูมิอากาศที่ปารีสปี 2558 “ยังไม่รวมถึงข้อพิจารณาผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน” ทีมนักวิจัยกล่าวทิ้งท้าย
