เฉกเช่นผู้คนจำนวนมหาศาลในพื้นที่ยากจน ห่างไกล ทุรกันดาร ผมเดินทางออกจากแผ่นดินเกิดมาสู่เมืองหลวงด้วยความหวังและปรารถนาชีวิตที่ดี (good life) เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หนังสือ The Five Faces of Thailand พรรณาถึงสังคมไทยและกรุงเทพฯ ในช่วงยุคหลังสงคราม หนึ่งในข้อมูลที่เตะตาผมคือ ในช่วงปีที่ผมเกิด (2510) ย้อนหลังไป 67 ปี (2443)ก่อนหน้านั้น กรุงเทพกำลังเข้าสู่ขั้นตอนความเป็นเมืองแบบก้าวกระโดด พื้นที่เมืองขยายเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า

ต่อมาอีก 50 กว่าปีจนถึงปัจจุบัน กรุงเทพฯ ขยายตัวแบบระเบิด ออกไปทุกทิศทางทุกทาง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ต่อเนื่องกับเขตปริมณฑล มิใช่เพียงในขอบเขต 1, 500 ตารางกิโลเมตรในทางกายภาพ แสงของเมืองที่มองมาจากสถานีอวกาศนานาชาติคล้ายกับกระจุกดาวเนบูลาบนแผ่นดิน หากแต่เจิดจ้า โชติช่วงชัชวาลย์ยิ่งกว่า จากศูนย์กลางเมืองไปทางเหนือ ตะวันตก และตามแนวชายฝั่งอีสเทอร์นซีบอร์ดที่ขณะนี้กลายเป็นเขตระเบียงเศรษฐกิจ

ในขณะที่กระบวนการกลายเป็นเมืองดำเนินไปในช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมา มลพิษทางอากาศก็ได้เป็นคุณลักษณะของเมืองไปเรียบร้อยแล้ว หลักๆ มาจากไอเสียของยานยนต์ในเขตศูนย์กลางธุรกิจการค้า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่สังคมไทยค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรมใหม่ เสือตัวที่สี่ที่ห้าของเอเชีย ตามมาด้วยการยกสถานะการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และล่าสุดก็คือวิกฤตโรคระบาด ในบริบทต่างๆ เหล่านี้ ได้สร้างเงื่อนไขเฉพาะขึ้นมาที่ทำให้กรุงเทพฯและพื้นที่โดยรอบติดอันดับต้นๆ ของโลกในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ในฐานะเมืองที่เผชิญกับวิกฤตมลพิษทางอากาศซึ่งกลายเป็นความท้าทายทางสาธารณสุขไปในเวลาเดียวกัน

ในช่วงเวลานี้เอง ผมตั้งคำถามต่อความหวังและสิ่งที่เป็นความปรารถนาของผมในเรื่อง “ชีวิตที่ดี” ในเมือง ผมตั้งคำถามถึงอากาศในเมืองที่เราหายใจ พยายามเข้าใจว่านอกเหนือจากมลพิษหลักที่เป็น criteria pollutants 5 ชนิดที่รายงานโดยกรมควบคุมมลพิษนั้นมีอะไรอีกบ้าง และแล้วฝุ่น pm2.5 ก็เข้ามา นับจากปี 2561 เราเรียกร้องให้นำเอา pm2.5 เข้าไปคำนวณในดัชนีคุณภาพอากาศและรายงานให้ประชาชนได้รับรู้ รวมถึงความสำเร็จในการผลักดันให้มาตรฐานคุณภาพในบรรบยากาศทั่วไปมีความเข้มงวดมากขึ้นพร้อมกับการเผ้าระวังและเตือนภัยเพื่อปกป้องปอดของพวกเราทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้

เมื่อเราซูมเอาท์พื้นที่กรุงเทพและโดยรอบ เราจะเห็นคุณลักษณะโดดเด่นที่ผมขออุปมาอุปไมยว่าคือปอดทั้งสองข้างของเมือง ด้านหนึ่งคือปอดนิเวศวิทยา-บางกระเจ้า และอีกด้านหนึ่งคือปอดเศรษฐกิจ-สนามบินสุวรรณภูมิ อุณหภูมิพื้นผิวของปอดทั้งสองข้างนี้แตกต่างกัน 8-10 องศาเซลเซียสทีเดียว ในมิติของระบบนิเวศวิทยาเมือง หากเราต้องการทำเมืองให้น่าอยู่ มีอากาศดีหายใจ เราจำเป็นต้องสร้างสมดุลให้ปอดทั้งสองข้างนี้ อย่างไรก็ตาม นอกจากการแก้ปัญหาเชิงเดี่ยว เช่น การย้ายท่าเรือคลองเตยออกไป เป็นต้น ไม่อาจเพียงพอที่จะรับมือกับความท้าทายของวิกฤตมลพิษทางอากาศของเมืองได้ เพราะเมืองไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่เชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการบริโภคในระดับที่กว้างขึ้น

เรามีปอดทั้งสองข้างของเมือง อุปมาอุปไมยหนึ่งคือ “เมืองก็มีลมหายใจ“ อีกด้วย แบบแผนการกระจายตัวของก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ pm2.5 ที่เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาต่างๆ ของปี ซึ่งตรวจจับด้วยเครื่องวัดบนดาวเทียมที่ทำหน้าที่เป็นดวงตาบนท้องฟ้า ทำให้เราได้เห็น ชีพจรของเมือง ที่โยงกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเมือง ทั้งการเดินทางด้วยยานยนต์สันดาปภายใน โรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โรงกลั่นน้ำมัน บางช่วงบางเวลาคุณภาพอากาศในเมืองจะขึ้นโดยตรงกับแหล่งกำเนิดที่ห่างไกลออกไป

ไกลออกไปอีกในระดับภูมิภาค เราเป็นประจักษ์พยานต่อ “มลพิษข้ามพรมแดน” ซึ่งมิใช่เพียงแค่ฝุ่นตัวใดตัวหนึ่ง แต่เป็น ค๊อกเทลของมลพิษทางอากาศ และแน่นอนครับ รากเหง้าของเรื่องนี้จะเป็นอย่างอื่นมิได้ แต่คือ การขยายตัวของพืชเศรษฐกิจที่ส่งออกเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและการทำลายผืนป่า ดังนั้น หากเราเพิกเฉยความสำคัญในเรื่องนี้ เมือง ปอดของเมือง ผู้คนที่มีชีวิตและหายใจในเมืองก็ยังคงจมฝุ่นอยู่ต่อไป

อนุภาค PM2.5 นั้นมีลักษณะรูพรุนเป็นเงื่อนไขที่ดีให้ทั้งกลุ่มสารก่อมะเร็งอย่าง PAHs และโลหะหนักเป็นพิษทั้งปรอท แคดเมียมและอาร์เซนิก ทำให้ฝุ่น PM2.5 โดยตัวของมันเองกลายเป็น “ค็อกเทลของมลพิษทางอากาศ” ชั้นดี

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไฟป่าครั้งใหญ่ คลื่นความร้อนที่รุนแรง และพายุฝุ่นที่เกิดถี่ขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าสร้างความเสียหายต่อคุณภาพอากาศในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เหตุการณ์ดังกล่าวได้เพิ่มการสัมผัสมลพิษทางอากาศให้กับผู้คนหลายล้านคน ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สําคัญต่อสาธารณะสุขและความเป็นอยู่ที่ดี เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วนี้ชี้ให้เห็นว่าคุณภาพอากาศ สภาพภูมิอากาศ และสุขภาพเชื่อมโยงกันมากน้อยเพียงใด แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศก็ยังเป็นแหล่งกำเนิดของก๊าซเรือนกระจกร่วม

การมีชีวิตในเมืองที่ปอดของคนหายใจได้ เราจำเป็นต้องยืนหยัดถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนที่จะมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากการออกกฎหมายอากาศสะอาด กฏหมาย PRTR ซึ่งอยู่กระบวนการรัฐสภาขณะนี้ ผู้กำหนดนโยบายจำต้องผนวกแผนปฏิบัติการเพื่ออากาศสะอาดให้อยู่ในแผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีส กำหนดค่ามาตรฐานการปลดปล่อย PM2.5 จากแหล่งกำเนิดมลพิษหลัก (Emission standard) ทั้งโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม และยานยนต์ ที่สำคัญ และทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องมีภาระรับผิดด้วย