เรียบเรียงจาก : Pilita Clark “The best new books on climate ahead of COP29  https://www.ft.com/content/b8fb5e6f-ff28-47ce-b6b1-a8a91b94eb85 via @ft” 

ในอีกไม่กี่สัปดาห์ การประชุมเจรจาสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศประจําปีของสหประชาชาติหรือ COP ในปี 2567 นี้ จะจัดขึ้นในบากู เมืองหลวงชายฝั่งของอาเซอร์ไบจาน และหากคุณต้องการเข้าใจว่าการทูตด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศทํางานอย่างไร เหตุใดจึงยังต่อกรเพื่อกู้วิกฤตโลกเดือด และจริงๆ จะต้องทำอย่างไรหนังสือออกใหม่นี้อาจมีคําตอบ

Todd Stern ให้ข้อมูลเชิงลึกถึงโลกอาณาจักรของการเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศในหนังสือ Landing the Paris Climate Agreement: How it Happened, Why it Matters and What Comes Next (MIT Press) ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศในยุค ปธน.บารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ Todd Stern ใช้เวลาหลายปี ณ จุดศูนย์กลางของการโต้เถียงซึ่งในที่สุดนำไปสู่หลักไมล์สำคัญของกระบวนการเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ ความตกลงปารีสปี 2558

คนวงในของเขาเผยให้เห็นธรรมชาติที่เต็มไปด้วยการเจรจาต่อรองระหว่าง 200 ประเทศที่คณะผู้แทนซึ่งเหนื่อยล้าใช้เวลาทั้งคืนแบบไม่หลับไม่นอนในการบรรลุการตัดสินใจแบบฉันทามติ ในขณะที่การเจรจาสุ่มเสี่ยงที่จะล้มเหลวใน COP ที่โคเปนเฮเกนปี 2552 สเติร์นเล่าว่า หลังจาก “งีบหลับ 30 นาทีสองครั้งบนพื้นห้องประชุมในช่วง 48 ชั่วโมงก่อนหน้านี่” เขาตะโกนว่า “น่าละอาย!” ต่อเจ้าหน้าที่สหประชาชาติที่ดูงกๆ เงิ่นๆ

มีความคืบหน้ามากขึ้นตามมาในช่วงหลายปีที่ใช้เพื่อให้การเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศกลับมาสู่เส้นทางเดิมหลังจากการประชุมที่โคเปนเฮเกน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ที่สําคัญระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งในที่สุด นำไปสู่ความตกลงปารีส แต่ก่อนจะถึงช่วงแห่งความตื่นเต้น ช่วงที่คุณ Todd Stern ตระหนักว่าร่างเนื้อหาของความตกลงถูกเปลี่ยนเป็น [กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว “ต้อง” เป็นผู้นําในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” แทนที่จะเป็นคำว่า “ควร”] คุณ Todd Stern เขียนว่า “ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความตกลงที่เปลี่ยนทิศทางของโลกทั้งหมดนี้จะคลี่คลายด้วยสิ่งที่แสนจะธรรมดา

ในท้ายที่สุด ประเทศภาคีได้ลงนามในความตกลงที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกมิให้เกิน 2 องศาเซลเซียส และจะให้ดีที่สุดไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แต่ 9 ปีต่อมา เป้าหมายดังกล่าวนี้ก็ยังคงโดนบั่นทอนจากการขยายเพิ่มขึ้นของการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งเป็นตัวการใหญ่ที่สุดของภาวะโลกเดือด

ทําไม? เหตุผลหนึ่งอาจเป็นลักษณะที่หลงผิดของแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน Jean-Baptiste Fressoz เขียนโต้แย้งในหนังสือ More and More and More: An All-consuming History of Energy (Allen Lane) งานเขียนที่ถอนรากแนวคิดที่แพร่หลายว่าด้วยการที่โลกที่เดินไม้ฟืนถูกค่อยๆ แทนที่ด้วยถ่านหิน จากนั้นก็ด้วยน้ํามันและก๊าซฟอสซิล ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกแซงหน้าด้วยพลังงานลม แสงอาทิตย์ และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ในที่สุด

Jean-Baptiste Fressoz นักประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าวว่าความจริงก็คือหลังจากสองศตวรรษของสิ่งที่เรียกว่า “การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน” มนุษยชาติไม่เคยเผาไม้ฟืน ถ่านหิน น้ํามันและก๊าซฟอสซิลมากขนาดนี้มาก่อน ไม้ฟืนราว 2 พันล้านลูกบาศก์เมตรที่ถูกโค่นเพื่อนำมาเผาไหม้เป็นพลังงานในแต่ละปีนั้นคิดเป็น 3 เท่าของเมื่อเทียบกับหนึ่งร้อนปีก่อนหน้านี้ และไม่ใช่แค่ในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาเท่านั้น สหรัฐอเมริกานำไม้ฟืนมาเผาเป็นพลังงานคิดเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับทศวรรษ 1960

ในทํานองเดียวกัน การใช้ถ่านหินขยายเร็วที่สุดและยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่างปี 2523 ถึง 2553 หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม และในขณะที่กลุ่มประเทศในยุโรปได้ปลดแอกถ่านหินออกจากระบบพลังงานของตนเอง การใช้ถ่านหินเพื่อนำเข้าสินค้าไปยังยุโรปก็หมายถึงการสนับสนุนการขยายตัวของถ่านหินในทางอ้อม

คุณ Fressoz ไม่ได้เสนอว่าระบบพลังงานหมุนเวียนไม่ควรจะเป็นทิศทางใหญ่ของโลก แต่เขาเกรงว่าบริษัทอุตสาหกรรมฟอสซิลทั้งหลายจะพยายามสนับสนุนแนวคิดการเปลี่ยนผ่านพลังงานเพื่อเหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลงให้อยู่แค่เพียง “แนวทางด้านเทคโนโลยี” แทนที่จะเป็น ”การปฏิวัติระบบพลังงานในขั้นรากฐาน“

นอกจากแวดวงวิชาการและการทูต การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกําลังส่งผลกระทบที่น่าเป็นห่วงอย่างเป็นรูปธรรม Peter Schwartzstein นักข่าวสิ่งแวดล้อมเขียนในหนังสือ The Heat and the Fury: On the Frontlines of Climate Violence (Footnote Press) เขารวบรวมประเด็นจากการรายงานข่าวกว่า 30 ประเทศเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษเพื่อนําเสนอว่าภัยแล้งยาวนาน คลื่นความร้อน และสภาวะอากาศสุดขั้วอื่นๆ สร้างความขัดแย้งให้รุนแรงมากขึ้นได้อย่างไร ในอิรัก เขาพบว่าเกษตรกรที่มีพืชผลล้มเหลวท่ามกลางฝนที่ลดน้อยลง และผู้ที่สูญเสียที่ดินชุมชนให้กับกลุ่มนักธุรกิจในกรุงแบกแดด มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนกลุ่มไอซิสมากกว่าเกษตกรผู้ที่อยู่ใกล้แม่น้ําโดยยังพอเก็บเกี่ยวผลผลิตทางเกษตรได้ ในบางภูมิภาค ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าร่วมปฏิบัติการจีฮัดในอัตราประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มเกษตรกรที่อาศัยอยู่ใกล้แม่น้ํา ในจอร์แดนที่ซึ่งความร้อนแผดเผาและการขาดแคลนน้ําคุกคามการดํารงชีวิตในชนบท Peter Schwartzstein เห็นกลุ่มชาวบ้านทำการประท้วงโดยเผาภาพเหมือนผู้นำและประมุขของประเทศ

การเดินทางของเขาในบังคลาเทศ แอฟริกา และภูมิภาคอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโลกเดือดเผยให้เห็นสภาพความขัดแย้งมากขึ้น แต่เขายังระบุถึงความหวังในรูปแบบของการสร้างสันติภาพด้านสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเป้าไปที่การจัดการความขัดแย้งที่เกิดจากวิกฤตโลกเดือด เช่น ความสําเร็จในภูมิภาคซาเฮลตอนเหนือ พื้นที่ซึ่งมีแบบแผนการตกของฝนที่ไม่แน่นอนและทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่เสื่อมโทรมนำไปสู่การล่าสัตว์ป่าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่ความตึงเครียดบรรเทาลงหลังจากกลุ่มองค์กรไม่แสวงกำไรด้านการเกษตรมาสนับสนุนแนวทางการจัดการฝูงสัตว์เลี้ยงและกลไกทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม

ในที่สุด ห่างไกลจากโลกที่ตึงเครียดของวิกฤตโลกเดือด นักชีววิทยาสัตว์ป่า Diane K Boyd เขียนบันทึกความทรงจําที่ช่วยยกระดับจิตวิญญานของเรา A Woman Among Wolves: My Journey Through Forty Years of Wolf Recovery (Greystone Books)

ในปี 2522 เมื่อ Diane K Boyd ทํางานที่หน่วยงานด้านปลาและสัตว์ป่าของสหรัฐอเมริกาทางตอนเหนือของมินนิโซตา เธอรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในอเมริกาเหนือที่ดักจับหมาป่าเพื่อการวิจัยและช่วยปกป้องฝูงปศุสัตว์ของเกษตรกร หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเขียนถึง “นักดักหมาป่าหญิงผมบลอนด์ที่น่าดึงดูดใจ” และเพื่อนร่วมงานชายผู้คลางแคลงใจก็เดิมพันว่าเธอไม่มีวันจับหมาป่าตัวจริงได้

Diane K Boyd พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาผิดและใช้เวลาหลายทศวรรษ ณ ศูนย์กลางของการต่อสู้ที่ยืดเยื้อซึ่งต่อกรกับเกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์ และนักล่าสัตว์กับนักอนุรักษ์ที่พยายามปกป้องฝูงหมาป่าที่ครั้งหนึ่งเคยแพร่หลายแต่ถูกล่าใกล้สูญพันธุ์ เธอรอดชีวิตผ่านกองซากปศุสัตว์ การเดินทางข้ามแม่น้ำลำธารที่เป็นน้ําแข็งในผืนป่า และนักตัดไม้ที่เป็นศัตรูในหลายโอกาสเพื่อเป็นสักขีพยานต่อการฟื้นตัวของสัตว์ป่าในแถบมิดเวสต์ในที่สุด

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในบางรัฐของสหรัฐอเมริกาและบางส่วนของยุโรป สงครามโบราณกับหมาป่าได้กลับมาใหม่ แต่ Diane K Boyd มีศรัทธาต่อความสามารถในการฟื้นตัวและคุณค่าของสรรพชีวิต “เราไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยปราศจากหมาป่า” เธอเขียน “แต่โลกนี้จะเป็นสถานที่ที่รุ่มรวยมากขึ้นโดยมีหมาป่าอยู่ในนั้น”