เรียบเรียงจาก Drawdown: The Most Comprehensive Plan Ever Proposed to Reverse Global Warming by Paul Hawken (Editor)

เมื่อมองแวบแรก ไม่มีภาพไหนที่ดูขาดความรับผิดชอบไปมากกว่าการแสดงให้เห็นถึงการเดินทางร่วมกันแบบนี้อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่ารถจี๊ปคันนี้จอดนิ่งอยู่ และผู้คนขึ้นไปเพื่อถ่ายภาพในเชิงขบขัน เรานำภาพนี้มาแสดงด้วยเหตุผลอื่น:
ยานพาหนะและการเดินทางเป็นทรัพยากรที่มีค่าเช่นเดียวกับไม้และการประมง ผู้คนในประเทศที่มั่งคั่งมักจะมองข้ามคุณค่าของรถยนต์และใช้มันอย่างไม่ใส่ใจสำหรับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือแค่ไปทำธุระ เราใส่ภาพนี้ไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า การเดินทางมีคุณค่าเพียงใด และหากเราต้องการรักษาทรัพยากร เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันมัน
ตั้งแต่ Ford Model T ลงสู่ท้องถนนในปี 1908 ผู้คนไม่ได้ใช้ความจุของรถยนต์เพียงแค่สำหรับครอบครัวและเพื่อนฝูงเท่านั้น ในปี 2015 พจนานุกรม Oxford English Dictionary ได้เพิ่มคำกริยา “ride-share” ลงในรายการคำศัพท์อย่างเป็นทางการ
“Ridesharing” เป็นคำใหม่สำหรับแนวปฏิบัติที่มีมานานแล้ว หมายถึง การเติมเต็มที่นั่งว่างในรถโดยการจับคู่ระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่มีจุดเริ่มต้น ปลายทาง หรือจุดแวะเดียวกันระหว่างทาง(คำนี้ไม่รวมถึงบริการที่คล้ายแท็กซี่ที่ดำเนินการโดยบุคคลทั่วไป แม้ว่ามักจะถูกเรียกด้วยชื่อเดียวกัน)
ตัวอย่างแรกของการเดินทางร่วมกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองพร้อมกับการก่อตั้ง “ชมรมใช้รถร่วมกัน” (Car-sharing clubs) “เมื่อคุณขับคนเดียว คุณกำลังเดินทางไปกับฮิตเลอร์!” นี่คือข้อความที่ชาวอเมริกันได้รับในเวลานั้น การใช้รถร่วมกันหมายถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรเพื่อสนับสนุนความพยายามในสงคราม โดยนายจ้างมีบทบาทในการช่วยจับคู่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารซึ่งมักจะผ่านกระดานข่าวในที่ทำงาน
เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันในทศวรรษ 1970 พร้อมกับความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศ โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากนายจ้างและรัฐบาลก็แพร่หลายขึ้นเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง เลนรถยนต์ที่มีผู้โดยสารหลายคน (HOV lanes) ถูกนำมาใช้เป็นแรงจูงใจให้ผู้คนเดินทางร่วมกัน นอกจากนี้ยังเกิดปรากฏการณ์ “slugging” หรือระบบคาร์พูลแบบไม่เป็นทางการในหมู่ผู้เดินทางในวอชิงตัน ดี.ซี. และพื้นที่อื่นๆ
ทศวรรษ 1970 ถือเป็นยุครุ่งเรืองของการเดินทางร่วมกันโดยมีประชากร 1 ใน 5 คนใช้คาร์พูลเพื่อเดินทางไปทำงาน เมื่อถึงปี 2008 ที่สำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ สอบถามเกี่ยวกับการใช้คาร์พูลอีกครั้ง แนวโน้มการเดินทางร่วมกันไปทำงานลดลงอย่างมาก โดยมีชาวอเมริกันเพียง 10% เท่านั้นที่เดินทางร่วมกัน แม้ว่าจะมีความพยายามส่งเสริมให้ใช้คาร์พูลเพื่อลดปัญหาการจราจรและปรับปรุงคุณภาพอากาศในช่วงทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000
อย่างไรก็ตาม การเดินทางร่วมกันกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ความแพร่หลายของสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย รวมถึงความสนใจที่ลดลงในการเป็นเจ้าของรถยนต์ของคนรุ่นมิลเลนเนียลในเขตเมือง การฟื้นตัวของแนวโน้มนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
เมื่อมีการรวมการเดินทาง ผู้คนสามารถแบ่งค่าใช้จ่าย ลดปัญหาการจราจร ลดภาระของโครงสร้างพื้นฐาน และอาจช่วยลดความเครียดจากการเดินทางพร้อมกับลดการปล่อยก๊าซต่อคน ปัจจุบัน ในทุกๆ 100 คันที่วิ่งไปทำงานในสหรัฐฯ มีเพียง 6 คันเท่านั้นที่มีผู้โดยสารร่วมเดินทาง
ลองจินตนาการถึงผลกระทบหากตัวเลขนี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย—หากผู้ขับขี่เปลี่ยนเป็นผู้โดยสารเพียงหนึ่งวันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ การเดินทางร่วมกันยังช่วยให้ระบบขนส่งมวลชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแก้ไขปัญหา “first and last mile” หรือช่องว่างระหว่างจุดเริ่มต้น (A) ระบบขนส่งมวลชน และจุดหมายปลายทาง (B) ซึ่งมักเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้คนลังเลที่จะใช้ขนส่งสาธารณะ
แม้ว่าการเดินทางร่วมกัน (ridesharing) จะไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่เทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่กำลังเร่งให้เกิดการใช้งานมากขึ้น สมาร์ทโฟนช่วยให้ผู้คนแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับตำแหน่งที่พวกเขาอยู่และจุดหมายปลายทางของพวกเขา ขณะที่ อัลกอริทึมที่ช่วยจับคู่ผู้โดยสารและค้นหาเส้นทางที่ดีที่สุดก็กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ความคุ้นเคยกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ช่วยส่งเสริมความไว้วางใจ ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะขึ้นรถกับคนที่พวกเขาไม่รู้จัก หรือเปิดประตูต้อนรับผู้โดยสารที่เป็นคนแปลกหน้า ด้วยจำนวนผู้ใช้ที่มากพอจะรับประกัน ความน่าเชื่อถือ ความยืดหยุ่น และความสะดวกสบาย แพลตฟอร์มการเดินทางร่วมกันที่ได้รับความนิยมจึงสามารถแก้ปัญหาสำคัญในอดีต นั่นคือ ความไม่แน่นอนในการหารถโดยสารในเวลาหรือสถานที่ที่ต้องการ
แท้จริงแล้ว การจับคู่ผู้ที่มีจุดหมายคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางครั้งเดียวหรือการใช้บริการในระยะยาวเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจแบบ Peer-to-Peer หลายแห่ง ตัวอย่างเช่น BlaBlaCar ช่วยให้สมาชิกกว่า 25 ล้านคน ใน 20 ประเทศ เดินทางร่วมกันในระยะทางไกล UberPool และ Lyft Line ใช้อัลกอริทึมจับกลุ่มผู้โดยสารตามเส้นทางที่คล้ายกันในระบบรับ-ส่งหลายจุด เฉพาะในประเทศจีน Uber ดำเนินการเดินทางร่วมกันมากถึง 20 ล้านเที่ยวต่อเดือน
Google Waze ใช้แนวทางแบบดิจิทัลกับแนวคิด “slugging” โดยจับคู่ผู้เดินทางในอิสราเอลตั้งแต่ปี 2015 และขณะนี้กำลังทดลองระบบเดียวกันในซานฟรานซิสโก (Lyft เคยทดสอบฟีเจอร์คล้ายกันในเขต Bay Area แต่ไม่ประสบความสำเร็จ) ด้วยฐานผู้ใช้จำนวนมาก บริษัทเหล่านี้สามารถทดลองแนวคิดใหม่ๆ ได้ โดยเดิมพันว่าหากผู้ขับขี่สามารถทำเงินหรือประหยัดเวลา พวกเขาจะเปิดที่นั่งให้แชร์ และหากผู้โดยสารสามารถเดินทางได้ในราคาประหยัดและสะดวกสบาย พวกเขาก็จะยินดีจ่ายร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การทำให้ผู้คนยอมเดินทางร่วมกันไม่ใช่เรื่องง่าย ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา มีหลักฐานชัดเจนว่า เมื่อราคาน้ำมันถูก การใช้คาร์พูลก็ลดลง เช่นเดียวกับการมีที่จอดรถฟรีหรือราคาถูก ที่ทำให้ผู้คนเลือกเดินทางคนเดียว นอกจากนี้ ความต้องการ อิสระ ความเป็นส่วนตัว และความรวดเร็วยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หลายคนไม่เลือกใช้คาร์พูล แม้ว่าประโยชน์ของมันจะชัดเจนก็ตาม
ในแง่นี้ การขับรถคนเดียวอาจสะท้อนถึงปรากฏการณ์ที่ Robert D. Putnam นักสังคมวิทยาเรียกว่า “Bowling Alone” หรือ การลดลงของทุนทางสังคมและความรู้สึกเป็นชุมชนในสังคมสมัยใหม่ อีกปัจจัยที่อาจเป็นอุปสรรคคือ ความกังวลด้านความปลอดภัยเมื่อเดินทางกับคนแปลกหน้า
ข่าวดีคือ เมื่อผู้โดยสารและผู้ขับขี่ได้เชื่อมต่อกัน ความรู้สึกของชุมชน การมีปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ระหว่างกันก็เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง
มากไปกว่าการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ridesharing คือการเชื้อเชิญให้เราจินตนาการถึงอนาคตใหม่ หลายคนเคยเชื่อว่ารถยนต์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ตอนนี้มีผู้เริ่มมองว่าการเดินทางเป็น “บริการ” มากกว่าการเป็นเจ้าของ” เมื่อรถยนต์ถูกใช้อย่างร่วมมือกัน มากกว่าการที่ทุกคนต้องมีรถเป็นของตัวเอง เราจะเห็นภาพของอนาคต—อนาคตที่มีรถยนต์น้อยลง
แล้วเราจะทำอย่างไรให้ที่นั่งว่างในรถถูกใช้งานทุกครั้งที่รถวิ่งบนท้องถนน?
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น ราคาน้ำมันและการออกแบบเมืองจะมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของการเดินทางร่วมกัน (ridesharing) อย่างแน่นอน แต่กุญแจสู่ความสำเร็จของมันคือการพัฒนาให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และคุ้มค่ามากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นหมายความว่า เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของ ridesharing เช่นเดียวกับที่มันมีผลต่อปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสามารถดึงดูดผู้ใช้ให้มากพอ เพราะแม้จะมีอัลกอริทึมที่ดีที่สุดในโลก แต่หากไม่มีผู้ใช้จำนวนมากพอ ระบบก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจของแต่ละแพลตฟอร์มอาจขัดแย้งกัน แต่หากมีการ แบ่งปันข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม ก็อาจทำให้เกิดการจับคู่ที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
นอกจากผู้ประกอบการและนักพัฒนาแล้ว นายจ้างและรัฐบาลก็มีบทบาทสำคัญ เช่นเดียวกับในอดีตที่พวกเขาเคยสนับสนุน ridesharing ในช่วงที่เฟื่องฟู นโยบายที่ช่วยส่งเสริมการใช้คาร์พูลอาจรวมถึงการลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายด้าน ridesharing หรือการลดค่าผ่านทางและค่าจอดรถสำหรับผู้ใช้คาร์พูล
ท้ายที่สุดแล้ว หากการขึ้นรถร่วมกับผู้อื่นทำได้ง่ายและสมเหตุสมผลพอๆ กับการใช้รถส่วนตัว หรืออาจดีกว่าด้วยซ้ำ การเดินทางร่วมกันก็จะกลายเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเอง และช่วยลดการปล่อยมลพิษได้ในระยะยาว
ผลกระทบ(IMPACT): การคาดการณ์ของเราสำหรับการเดินทางร่วมกัน(ridesharing)มุ่งเน้นไปที่ผู้ที่เดินทางไปทำงานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์และการขับขี่คนเดียวสูง สมมติว่าอัตราการใช้คาร์พูลจะเพิ่มขึ้นจาก 10% ของผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์ในปี 2015 เป็น 15% ภายในปี 2050 และจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อคันจะเพิ่มจาก 2.3 คนเป็น 2.5 คน การเดินทางร่วมกันไม่มีต้นทุนในการดำเนินการแต่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.3 กิกะตัน
