เป็นผลมาจากการผสมผสานกันของปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ปริมาณฝนมหาศาลในระดับหายนะ และการขาดความพร้อมรับมือ

มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คนจากเหตุอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกาในรอบศตวรรษ ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องถาโถมเข้าท่วมเขตเคอร์ (Kerr County) ในตอนกลางของรัฐเท็กซัส เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 4 กรกฎาคม ในบรรดาผู้เสียชีวิต มีเด็กผู้หญิงและเจ้าหน้าที่ 27 คนที่ถูกกระแสน้ำพัดพาออกไปจากค่ายฤดูร้อนคริสเตียน ขณะนี้มีการคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักเพิ่มขึ้นอีกในสัปดาห์นี้ แผนภูมิและแผนที่ด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นว่าสาเหตุใดที่ทำให้น้ำท่วมครั้งนี้อันตรายถึงเพียงนี้

ส่วนหนึ่งของสาเหตุมาจากปริมาณฝนที่ทำลายสถิติซึ่งตกลงมาในพื้นที่ที่เปราะบางเป็นพิเศษของรัฐ ที่สถานีวัดอากาศอินแกรม (Ingram) ใกล้ค่ายมิสติก (Camp Mystic) ซึ่งเด็กผู้หญิงพักอยู่ มีฝนตกมากกว่า 13 เซนติเมตร (5 นิ้ว) ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยรายเดือนตามประวัติศาสตร์ ในบางพื้นที่ใกล้เคียงในเขตเคอร์ ปริมาณฝนอาจสูงถึง 25 เซนติเมตรภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ตำแหน่งที่เกิดฝนตกหนัก—บริเวณต้นแม่น้ำกวาดาลูป (Guadalupe River)—ยิ่งเพิ่มความรุนแรงของผลกระทบ ระหว่างเวลา 2.30 น. ถึง 5.10 น. ของวันที่ 4 กรกฎาคม ระดับน้ำในแม่น้ำที่จุดวัดน้ำใกล้ค่ายมิสติกสูงขึ้นเกือบ 9 เมตร (29 ฟุต) เวลา 5.10 น. ระดับน้ำสูงเกิน 11 เมตร ก่อนที่เครื่องวัดจะหยุดทำงานไปหลายชั่วโมง ในช่วงนั้น ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำมากกว่าการไหลเฉลี่ยของน้ำตกไนแองการา ระดับน้ำครั้งนี้สูงกว่าน้ำท่วมร้ายแรงเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1987 ซึ่งมีวัยรุ่นสิบคนเสียชีวิตระหว่างการอพยพออกจากค่ายอีกแห่งหนึ่ง

เขตเคอร์ (Kerr County) และภูมิภาคฮิลล์คันทรี (Hill Country) โดยรอบตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “ตรอกน้ำท่วมฉับพลัน” (Flash Flood Alley) ซึ่งเป็นแนวตอนกลางของรัฐเท็กซัสที่โค้งลงจากดัลลัส ผ่านออสติน จากนั้นไปทางตะวันตกผ่านซานอันโตนิโอจนถึงชายแดนเม็กซิโก มวลอากาศอุ่นชื้นจากอ่าวเม็กซิโกจะลอยขึ้นเหนือหน้าผาและเนินเขาของแนวบัลโคนีส เอสคาร์พเมนต์ (Balcones Escarpment) จากนั้นจะเย็นตัวและควบแน่นกลายเป็นฝนตกหนัก กลไกทางธรรมชาตินี้ทำให้ภูมิภาคนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดฝนกระหน่ำมากเป็นพิเศษ ฮาทิม ชาริฟ (Hatim Sharif) นักอุทกวิทยาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสที่ซานอันโตนิโออธิบายว่า สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปริมาณไอน้ำในบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นเพราะมวลอากาศตกค้างจากพายุโซนร้อนแบร์รี (Tropical Storm Barry) ที่ขึ้นฝั่งเม็กซิโกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน

ภูมิประเทศยังยิ่งเพิ่มความอันตรายเข้าไปอีก ดินในพื้นที่กึ่งแห้งแล้งดูดซับน้ำได้น้อย ฝนจะไหลบ่าลงเนินเขาเข้าสู่เครือข่ายลำธารแคบๆ ที่มีอยู่หนาแน่น ซึ่งระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อกระแสน้ำไหลทะลัก ก็สามารถพัดพาอาคาร ยานพาหนะ และผู้คนไปได้ อันตรายนี้เป็นสิ่งที่ชาวเท็กซัสรู้กันดี: พวกเขามีโอกาสเสียชีวิตจากน้ำท่วมสูงกว่าคนอเมริกันโดยเฉลี่ยถึงสองเท่า ระหว่างปี 1959 ถึง 2019 มีชาวเท็กซัสกว่า 1,000 คนเสียชีวิตจากน้ำท่วม ซึ่งเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกรัฐในอเมริกา

แม้จะมีการพยากรณ์ล่วงหน้าและประวัติของเหตุการณ์น้ำท่วม Kerr County ก็ยังดูเหมือนไม่ได้เตรียมพร้อม รายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าพื้นที่นี้ยังคงไม่มีระบบเตือนภัยน้ำท่วมเพื่อแจ้งเตือนประชาชนและนักท่องเที่ยว ความพยายามจัดหาทุนสร้างระบบดังกล่าวล้มเหลวมาตั้งแต่ปี 2018 เวลาเกิดน้ำท่วม—กลางดึก—ก็อาจยิ่งทำให้การแจ้งเตือนและอพยพล่าช้าไปอีก

ขณะเดียวกัน คำถามก็ถูกตั้งขึ้นต่อรัฐบาลทรัมป์และกระทรวงประสิทธิภาพภาครัฐ (Department of Government Efficiency – DOGE) นับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา บริการอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ (National Weather Service – NWS) สูญเสียบุคลากรราว 560 คน จากการปลดออก การเกษียณก่อนกำหนด และการลาออกโดยสมัครใจ ทำให้จำนวนพนักงานลดลง 10% ตำแหน่งงานบางส่วนจำเป็นต้องเปิดรับใหม่ ในสำนักงาน NWS ภาคกลางของเท็กซัส ตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งยังว่างอยู่ รวมถึงนักอุทกวิทยาอาวุโสและนักอุตุนิยมวิทยาผู้ประสานงานเตือนภัย

ในจดหมายเปิดผนึกที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคม อดีตผู้อำนวยการของ NWS ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 1988 ถึง 2022 เตือนว่า “ฝันร้ายที่สุด” ของพวกเขาคือการตัดลดบุคลากรจะนำไปสู่ “การสูญเสียชีวิตที่ไม่จำเป็น” แม้ในขณะนี้จะยังไม่ชัดเจนว่าการตัดงบประมาณมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงใดหรือไม่ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ น้ำท่วมฉับพลันจะยังคงเกิดขึ้นต่อไป กฎฟิสิกส์พื้นฐานระบุว่า อากาศที่อุณหภูมิสูงจะเก็บความชื้นได้มากขึ้น บนโลกที่ร้อนขึ้น นั่นหมายถึงปริมาณฝนสุดขั้วในทุกรูปแบบจะเพิ่มขึ้น

แปลเรียบเรียงจาก Why was the flooding in Texas so deadly?
https://economist.com/interactive/graphic-detail/2025/07/07/why-was-the-flooding-in-texas-so-deadly from The Economist