ในข้อตกลงระหว่างรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียและรัฐบาลสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาว่าด้วย “หลักการความร่วมมือในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กบนดินในเขตสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา” ซึ่งลงนามที่กรุงมอสโกวันที่ 4 มีนาคม 2568 คู่ภาคีจะร่วมมือกันในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กบนดิน (ซึ่งจะเรียกว่า “АСММ”) ในเขตสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา มีกำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 110 เมกะวัตต์

ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าจะใช้เครื่องปฏิกรณ์น้ำแรงดัน(Pressurized Water Reactor)ของรัสเซียและในมาตรา 4 ของข้อตกลง เราจะเห็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญโดยฝ่ายรัสเซียคือ Rosatom และ Rostekhnadzor(หน่วยงานกำกับดูแลนิวเคลียร์-nuclear regulatory authority) ฝ่ายเมียนมาคือ คณะกรรมการโครงการนิวเคลียร์แห่งชาติและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Rosatom (Государственная корпорация по атомной энергии «Росатом» หรือ State Atomic Energy Corporation “Rosatom”) คือรัฐวิสาหกิจที่เป็น “แขนขาด้านนิวเคลียร์” ของรัสเซียทั้งในเชิงเศรษฐกิจ พลังงานและการทูต

ภายในประเทศ Rosatom ผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ประมาณ 20% ของความต้องการไฟฟ้ารัสเซีย ระหว่างประเทศ Rosatom ใช้ “การทูตนิวเคลียร์” เป็นเครื่องมือสร้างอิทธิพลโดยทำสัญญาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าในหลายประเทศ

คาดว่าเครื่องปฏิกรณ์น้ำแรงดัน(Pressurized Water Reactor) ของ Rosatom ที่จะขายให้เมียนมาคือ RITM‑200N โดยจะเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์บนดินเครื่องแรกที่ส่งออกต่างประเทศ

ในรัสเซีย เครื่องปฏิกรณ์ RITM‑200N บนดิน ยังอยู่ในระหว่างการออกแบบก่อสร้างที่ภูมิภาค Yakutia เครื่องปฏิกรณ์ RITM‑200N ที่ใช้งานในปัจจุบันอยู่ในเรือดำน้ำ เรือตัดน้ำแข็งและเตาปฏิกรณ์ลอยน้ำในเขตอาร์กติก

สิ่งที่ต้องคำนึงเมื่อพิจารณาถึงบทบาทของ Rosatom ต่อแผนการนิวเคลียร์ของเมียนมาคือ

☢️Rosatom ดำเนินโครงการนิวเคลียร์ใน 33 ประเทศ และควบคุมกำลังการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของโลกถึง 44%

☢️ทำหน้าที่ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่ผสานกิจกรรมทางพาณิชย์เข้ากับวัตถุประสงค์ทางการเมืองและการทหารของรัสเซีย

☢️มีส่วนร่วมในการบังคับลงนามสัญญาการปกครองพื้นที่ยึดครองและการละเมิดต่อเจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ZNPP ในยูเครน

☢️ละเมิดมาตรฐานความปลอดภัยของ IAEA เพิ่มความเสี่ยงต่อหายนะทางนิวเคลียร์ครั้งใหญ่