
เมื่อโลกเร่งลดการปล่อยคาร์บอน ความต้องการ “แร่ทรานซิชัน” (transition minerals) — เช่น ลิเทียม โคบอลต์ นิกเกิล และแร่หายาก — ก็กำลังพุ่งสูงขึ้น แร่เหล่านี้เป็นวัสดุสำคัญสำหรับเทคโนโลยีอย่างแบตเตอรี่ กังหันลม และแผงโซลาร์เซลล์ แต่การสกัดแร่เหล่านี้กลับมีต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมสูงมาก โครงการเหมืองจำนวนมากกำลังขยายเข้าสู่ระบบนิเวศที่สำคัญที่สุดของโลก เช่น ป่าไม้ พีตแลนด์ พื้นที่ชุ่มน้ำ และดินเยือกแข็ง (permafrost) ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญเสียแหล่งกักเก็บคาร์บอนอันประเมินค่ามิได้ และยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนแนวหน้า โดยเฉพาะชนพื้นเมือง
ผลกระทบเหล่านี้มักก่อให้เกิดความไม่สงบทางสังคม การฟ้องร้องทางกฎหมาย หรือการต่อต้านจากสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจบั่นทอนความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ขณะเดียวกัน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แฝงอยู่ในกระบวนการทำเหมืองและห่วงโซ่อุปทานของแร่ก็มักถูกมองข้ามในการคำนวณบัญชีคาร์บอน ทำให้เป้าหมาย “การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์” ที่ตั้งไว้ถูกบั่นทอนลง
เครื่องมือนี้ (toolkit) เสนอวาระเชิงนโยบายที่มองไปข้างหน้าเพื่อให้การจัดหาวัตถุดิบแร่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมและสิทธิชนพื้นเมืองโดยอาศัยองค์ความรู้จากวิทยาศาสตร์ กฎหมาย และกรณีศึกษาในโลกจริง เพื่อเสนอแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมให้รัฐบาล สถาบันการเงิน และภาคธุรกิจนำไปใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างแหล่งปล่อยคาร์บอนและความขัดแย้งรูปแบบใหม่
ตั้งแต่การกำหนด “พื้นที่ห้ามทำเหมือง” ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ไปจนถึงการบังคับใช้การประเมินผลกระทบที่บูรณาการประเด็นภูมิอากาศ การบังคับเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างโปร่งใส การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ฯลฯ บทต่อไปนี้จะนำเสนอแผนที่นำทาง (roadmap) เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจะไม่ทำซ้ำความเสียหายของระบบการสกัดทรัพยากรในอดีต — แต่จะสร้างอนาคตที่เป็นธรรม โปร่งใส และยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศแทน
1. การทำเหมืองในระบบนิเวศที่อุดมด้วยคาร์บอน
ความท้าทาย (THE CHALLENGES)
การสำรวจแร่ทรานซิชันกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเข้าสู่พื้นที่กักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของโลก เช่น ป่าโบราณและป่าฝนเขตร้อน พื้นที่ชุ่มน้ำ และดินแถบอาร์กติกที่ไวต่อการละลาย การรบกวนระบบนิเวศเหล่านี้ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมา ซึ่งไม่สามารถดูดซับกลับได้ทันเวลาเพื่อรักษาเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5°C
การปกป้องภูมิประเทศเหล่านี้จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่รวดเร็วและคุ้มค่าที่สุดที่รัฐบาลสามารถทำได้ เพื่อให้บรรลุพันธสัญญาด้านภูมิอากาศ พร้อมทั้งสร้างมาตรฐานระดับโลกสำหรับการจัดการทรัพยากรอย่างชาญฉลาดและยั่งยืน
ข้อเท็จจริงสำคัญ (Key facts)
เหมืองจำนวนมากตั้งอยู่บนพื้นที่ดูดซับคาร์บอนหลัก
การศึกษาของ WWF–Norway และ Rainforest Foundation Norway ในปี 2023 พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่อนุญาตทำเหมืองทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ป่าหนาทึบ และกว่า 58,000 พื้นที่ทับซ้อนกับเขตอนุรักษ์
เหมืองทำลายป่า
ป่าทั้งเขตร้อน เขตอบอุ่น และเขตหนาวดูดซับคาร์บอนได้มากที่สุดตั้งแต่เริ่มยุคอุตสาหกรรม แต่การทำเหมืองเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการตัดไม้ทำลายป่า โดยได้ทำลายป่าไปแล้วกว่า 1.4 ล้านเฮกตาร์ (ประมาณเท่ากับพื้นที่ของมอนเตเนโกรหรือทีมอร์-เลสเต) และปล่อย CO₂ ประมาณ 36 ล้านตันต่อปี องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าความต้องการแร่ทรานซิชันจะพุ่งสูงขึ้นภายในปี 2040 ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำลายป่าและพื้นที่กักเก็บคาร์บอนมากยิ่งขึ้น
พื้นที่ชุ่มน้ำมีบทบาทสำคัญ (รวมถึงทุ่งหญ้าและพุ่มไม้)
พื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น พีตแลนด์ ป่าชายเลน และบึง ครอบคลุมประมาณ 5% ของพื้นที่ผิวโลก และกักเก็บคาร์บอนอินทรีย์ได้ราว 20% ของทั้งหมด มากกว่าป่าฝนถึง 10 เท่าต่อหน่วยพื้นที่ การระบายน้ำออกจากพีตแลนด์เพียง 1 เฮกตาร์เพื่อทำเหมือง อาจปล่อย CO₂ ได้ถึง 800 ตันภายใน 5 ปี ซึ่งเท่ากับการปล่อยของรถยนต์ในสหรัฐฯ 170 คันต่อปี งานวิจัยใหม่แสดงให้เห็นว่าทุ่งหญ้าและพุ่มไม้ก็มีบทบาทสำคัญต่อสมดุลคาร์บอนของโลกเช่นกัน
อาร์กติกมีความเสี่ยงสูงที่สุด
การทำเหมืองในอาร์กติกกำลังเพิ่มขึ้น และเสี่ยงต่อการปลดปล่อยคาร์บอนจำนวนมหาศาลจากชั้นดินเยือกแข็ง (permafrost) ซึ่งกักเก็บคาร์บอนไว้มากถึง 2.5 เท่าของปริมาณคาร์บอนในบรรยากาศโลก รายงานล่าสุดของ IPCC ระบุว่าการเพิ่มอุณหภูมิโลกทุก 1°C อาจทำให้ permafrost ปลดปล่อยคาร์บอนได้เทียบเท่ากับที่มนุษย์ปล่อยออกมาหลายปีรวมกัน
ข้อเสนอแนะ (RECOMMENDATIONS)
- ออกกฎหมายบังคับใช้การตรวจสอบความรับผิดชอบด้านผลิตภัณฑ์ (binding due diligence regulations) เพื่อเชื่อมโยงการเข้าถึงตลาดกับมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มงวด บริษัทต้องระบุ ป้องกัน และบรรเทาความเสี่ยงด้านการทำลายป่า ระบบนิเวศ และผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะในการจัดหาวัตถุดิบที่มีความเสี่ยงสูง กฎระเบียบของสหภาพยุโรป เช่น EU Batteries Regulation และ EU Regulation on Deforestation-Free Products เป็นตัวอย่างสำคัญที่เชื่อมโยงการเข้าถึงตลาดกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กำหนดและบังคับใช้พื้นที่ห้ามทำเหมือง (no-go zones) ในระบบนิเวศที่มีแหล่งกักเก็บคาร์บอนทดแทนไม่ได้ เช่น ป่าโบราณ พีตแลนด์ ทุนดรา หรือป่าชายเลน เพื่อห้ามการสำรวจและสกัดแร่ รวมถึงเสริมสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) เพื่อป้องกันไม่ให้แร่จากพื้นที่เหล่านี้เข้าสู่ตลาด ตัวอย่างเช่น ในปี 2020 นอร์เวย์เป็นประเทศแรกที่ห้ามใช้วัตถุดิบจากพื้นที่ทำลายป่าสูง (เช่น น้ำมันปาล์ม) ในเชื้อเพลิงชีวภาพ สร้างแบบอย่างระดับโลกในมาตรการด้านอุปสงค์
- บูรณาการการประเมินมูลค่าบริการระบบนิเวศ (ecosystem-service valuation) เข้ากับกระบวนการอนุญาตทำเหมือง เพื่อให้การตัดสินใจรวมการประเมินวงจรชีวิตทั้งหมดของการปล่อยคาร์บอนจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ตัวอย่างเช่น ในรัฐอาเกร ประเทศบราซิล ได้ใช้กรอบ InVEST (Integrated Valuation of Ecosystem Services and Trade-offs) เพื่อประเมินผลกระทบจากการใช้ที่ดินต่อการอนุรักษ์และการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้ชุมชนในพื้นที่มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือและนโยบายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลีกเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านี้ (TO AVOID THESE PITFALLS)
เหมืองลิเทียมบาร์โรโซ ประเทศโปรตุเกส: จากรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ปี 2023 เหมืองลิเทียม Mina do Barroso ทางตอนเหนือของโปรตุเกสอาจปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 33.7 กิโลตัน CO₂ เทียบเท่าต่อปี เพื่อผลิต 191 กิโลตันของแร่สปอดูมีนเข้มข้น (คิดเป็น 26 กิโลตันลิเทียมคาร์บอเนตที่มี Li₂O 5.5%) การดำเนินงานในพื้นที่ธรรมชาติที่เปราะบางเช่นนี้จะทำให้ดินเสื่อมสภาพ ป่าถูกทำลายอย่างถาวร และเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศทั้งหมด
2. การปกครองโดยชนพื้นเมืองและสิทธิในการให้ความยินยอมอย่างเสรี ล่วงหน้า และโดยรู้ข้อมูลครบถ้วน (FPIC)
ความท้าทาย (THE CHALLENGES)
ชนพื้นเมืองคือผู้พิทักษ์ระบบนิเวศที่เป็น “กันชนภูมิอากาศตามธรรมชาติ” ที่ทรงพลังที่สุดของโลก — ทั้งป่าไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ และระบบนิเวศสำคัญอื่น ๆ แต่เมื่อโครงการพัฒนาเดินหน้าโดยไม่เคารพสิทธิในการให้ความยินยอมอย่างเสรี ล่วงหน้า และโดยรู้ข้อมูลครบถ้วน (Free, Prior and Informed Consent – FPIC) ภูมิทัศน์เหล่านี้มักถูกทำลาย ปลดปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก และรบกวนสภาพภูมิอากาศท้องถิ่น
การเคารพ FPIC ไม่ใช่เพียงพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังเป็น “ยุทธศาสตร์ภูมิอากาศอันชาญฉลาด” ด้วย เมื่อชุมชนชนพื้นเมืองมีอำนาจตัดสินใจจริง ระบบนิเวศจะคงความอุดมสมบูรณ์ คาร์บอนยังคงถูกกักเก็บไว้ และการคุ้มครองสิทธิของพวกเขายังช่วยปกป้องธรรมชาติ พร้อมลดความเสี่ยงให้แก่รัฐบาลและผู้พัฒนาโครงการ
ข้อเท็จจริงสำคัญ (Key facts)
ผู้พิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ:
ชนพื้นเมือง — ซึ่งมีประชากรราว 6% ของประชากรโลก — และชุมชนท้องถิ่นเป็นผู้ถือครองหรือจัดการพื้นที่ป่าที่สมบูรณ์ถึง 54% ของโลก จากการดูแลของพวกเขา ประมาณ 91% ของพื้นที่เหล่านี้ทับซ้อนกับพื้นที่สำคัญทางชีวภาพ (Key Biodiversity Areas) กว่า 40% และอยู่ในสภาพดีถึงดีปานกลาง
โครงการทำเหมืองมากกว่าครึ่งทับซ้อนกับที่ดินของชนพื้นเมือง :
ประมาณ 29% ของโครงการสกัดแร่ทรานซิชันตั้งอยู่ในหรือใกล้พื้นที่ของชนพื้นเมือง ชนพื้นเมือง จึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลที่ดินและการอนุรักษ์ทรัพยากร
ผลกระทบด้านภูมิอากาศจากการละเลย FPIC:
การขาดความยินยอมที่แท้จริงจากชุมชนไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและการเงินเท่านั้น แต่ยังทำให้การดำเนินการด้านภูมิอากาศที่เร่งด่วนต้องหยุดชะงัก เมื่อโครงการเดินหน้าโดยไม่มี FPIC มักเกิดความขัดแย้ง การฟ้องร้อง และการต่อต้านจากชุมชน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าหรือแม้แต่การยกเลิกโครงการ ทุกโครงการสะอาดที่หยุดชะงักย่อมบั่นทอนความพยายามบรรลุเป้าหมายภูมิอากาศโลก และในบางกรณี ความไม่ไว้วางใจนี้นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงและการสูญเสียชีวิต
ข้อเสนอแนะ (RECOMMENDATIONS)
- สร้างกรอบกฎหมายที่แข็งแรงเพื่อคุ้มครองสิทธิการปกครองตนเองและ FPIC ของชนพื้นเมือง : รัฐบาลต้องรับรองสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองของชนพื้นเมือง รวมถึงสิทธิการปกครองตนเองและสิทธิในการให้ความยินยอมอย่างเสรี ล่วงหน้า และโดยรู้ข้อมูลครบถ้วน (FPIC) ตามมาตรฐานระหว่างประเทศ เช่น UNDRIP หมายถึงการยอมรับว่าชนพื้นเมืองเป็น “ผู้ถือสิทธิ์” ที่มีอำนาจเหนือดินแดนของตน FPIC ต้องเป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสุจริต ปลอดจากการบังคับ และรวมสิทธิในการปฏิเสธ (“สิทธิที่จะพูดว่าไม่”) บริษัทต้องเคารพ FPIC เมื่อดำเนินการในหรือใกล้เขตชนพื้นเมือง การศึกษาปี 2024 ในวารสาร One Earth ที่วิเคราะห์โครงการอนุรักษ์ 648 โครงการ พบว่าชุมชนที่มีอำนาจตัดสินใจเต็มรูปแบบ 85% มีผลลัพธ์ด้านนิเวศที่ดี เทียบกับเพียง 18% ของกรณีที่ไม่มีหรือมีอำนาจจำกัด ข้อสรุปคือ “การควบคุมอย่างมีความหมาย” — ไม่ใช่แค่การปรึกษา — ให้ผลลัพธ์ด้านการอนุรักษ์ที่ชัดเจนที่สุด
- การอนุรักษ์ที่นำโดยชนพื้นเมือง (Indigenous-Led Conservation): รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการรับรองสิทธิในที่ดินและการจัดการทรัพยากรของชนพื้นเมืองอย่างเป็นทางการรวมถึงการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน และการสนับสนุนระบบการปกครองแบบชนพื้นเมืองเพื่อเป็นกลยุทธ์หลักของการดำเนินการด้านภูมิอากาศ การรับรองสิทธิ์ทางกฎหมายช่วยให้ชุมชนจัดการป่าไม้และระบบนิเวศอย่างยั่งยืนโดยสอดคล้องทั้งวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และมีผลจริงต่อการกักเก็บคาร์บอน การคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และความยืดหยุ่มต่อภูมิอากาศ ตัวอย่างเช่น ในเปรู ระหว่างเดือนมิถุนายน 2023 ถึง พฤษภาคม 2024 รัฐบาลได้ออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน 37 แห่งในอเมซอนให้แก่ชุมชน การศึกษาพบว่าการให้สิทธิ์ที่ดินแก่ชุมชนสามารถลดการตัดไม้ทำลายป่าได้ถึง 66% ในพื้นที่นั้นซึ่งหมายถึงการลดการปล่อย CO₂ ได้อย่างมีนัยสำคัญ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการให้อำนาจการถือครองที่มั่นคงแก่ชนพื้นเมืองทำให้พวกเขาเป็น “ผู้พิทักษ์ป่า” ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น
- การมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบาย (Inclusion in Policymaking) : ต้องรับรองว่าชนพื้นเมืองมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิผลในกระบวนการพัฒนาและดำเนินนโยบายด้านภูมิอากาศ เช่น NDCs ยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพ และแผนการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ความรู้ดั้งเดิมและระบบการปกครองของพวกเขาเป็นแหล่งข้อมูลล้ำค่าสำหรับการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน หลายประเทศได้บูรณาการสิทธิชนพื้นเมืองและแนวทางอิงธรรมชาติเข้ากับแผนภูมิอากาศของตน ภายใต้โครงการ UNDP Climate Promise มีมากกว่า 120 ประเทศที่ได้รับการสนับสนุนให้บูรณาการป่าไม้ ที่ดิน และความหลากหลายทางชีวภาพควบคู่กับการมีส่วนร่วมของชนพื้นเมือง แนวทางนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อชนพื้นเมืองได้รับการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง นโยบายภูมิอากาศของชาติก็มีความยุติธรรม และมีประสิทธิผลมากขึ้น
- ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ (Address Climate Justice) : ยอมรับว่าชนพื้นเมืองมักได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอุตสาหกรรมสกัดทรัพยากรอย่างไม่สมส่วน รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับ “ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ” โดยรับรองการกระจายประโยชน์และภาระอย่างเท่าเทียม และจัดให้มีการเข้าถึงเงินทุนภูมิอากาศที่ช่วยเสริมพลังให้กับการอนุรักษ์ที่นำโดยชนพื้นเมือง
เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านี้ (TO AVOID THESE PITFALLS):
กรณี Fosen Vind ประเทศนอร์เวย์: กรณีของฟาร์มกังหันลม Fosen Vind ซึ่งเป็นโครงการพลังงานลมบนบกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แสดงให้เห็นว่าการดำเนินโครงการโดยไม่ขอความยินยอมจากชนพื้นเมืองมีความเสี่ยงยาวนานกว่าช่วงการก่อสร้าง แม้โครงการจะเปิดดำเนินการในปี 2020 แต่กลับพบปัญหาด้านการดำเนินงานและขาดทุนทางวัตถุ ในปี 2021 ศาลฎีกานอร์เวย์ตัดสินให้เพิกถอนใบอนุญาต โดยชี้ว่าละเมิดสิทธิของชาว Sámi การแก้ไขเพียงบางส่วนเพิ่งเกิดขึ้นในปี 2024 กรณีนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การขาด FPIC อาจนำไปสู่การฟ้องร้องยืดเยื้อ และทำให้โครงการเสียหายทางการเงินแม้หลังจากเริ่มดำเนินงานแล้วก็ตาม
3. การประเมินผลกระทบล่วงหน้า (Front-Loaded Impact Assessments)
ความท้าทาย (THE CHALLENGES)
โครงการเหมืองที่มองข้ามความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ และสังคมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น มักเผชิญกับปัญหาความล่าช้า การต่อต้านจากชุมชน และสินทรัพย์ที่กลายเป็นภาระ (stranded assets)
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESIA) ที่บกพร่องหรือไม่ครบถ้วนยังอาจทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง และบั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณะ
การทำ “การประเมินผลกระทบล่วงหน้า” ที่บูรณาการเรื่องภูมิอากาศและเปิดให้มีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้เมื่อรัฐบาลกำหนดให้มี ESIA ที่เข้มแข็งตั้งแต่เริ่มต้น โครงการจะมีความรับผิดชอบ โปร่งใส ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับทั้งสิทธิของท้องถิ่นและเป้าหมายภูมิอากาศโลก
ข้อเท็จจริงสำคัญ (Key facts)
การขาดการยอมรับจากชุมชนบั่นทอน “ใบอนุญาตทางสังคม” และทำให้โครงการหยุดชะงัก :
องค์กร Global Witness และองค์กรอื่น ๆ เน้นว่าการไม่มีการยินยอมและการมีส่วนร่วมของชุมชนที่เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและทำให้การลงทุนเหมืองทั่วโลกหยุดชะงัก การหยุดดำเนินงานดังกล่าวอาจทำให้ผู้ประกอบการขาดทุนกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ จากค่าใช้จ่ายและการผลิตที่ล่าช้า
เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการจัดหาเงินทุนโครงการระดับนานาชาติ:
ผู้ให้กู้รายใหญ่ระดับโลกขณะนี้กำหนดให้ต้องมี รายงาน ESIA ที่ครอบคลุม ก่อนอนุมัติเงินทุน ธนาคารโลกบังคับให้ผู้กู้จัดทำการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างครบถ้วน เป็นเงื่อนไขสำหรับการขอสินเชื่อภายใต้กรอบสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Framework)
การจัดแนวระหว่างวิทยาศาสตร์และนโยบาย (Science-policy alignment):
ทั้งรายงานพิเศษของ IPCC เรื่อง 1.5°C (SR1.5) และการทบทวนแร่ที่มีความสำคัญมากของ OECD ปี 2023 ย้ำถึงความจำเป็นของการบูรณาการ “เส้นทางสู่เป้าหมายภูมิอากาศ” เข้ากับกระบวนการประเมินโครงการเพื่อให้การพัฒนาใหม่ไม่ล็อกตัวเองไว้ในโครงสร้างการปล่อยสูง และยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลก
ข้อเสนอแนะ (RECOMMENDATIONS)
- การมีส่วนร่วมของชุมชนที่ครอบคลุม ปลอดภัย และมีข้อมูลครบถ้วน ต้องเกิดขึ้นทุกขั้นตอนของการพัฒนาโครงการ: ตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ดำเนินงาน จนถึงการติดตามและปิดโครงการต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในกระบวนการ ESIA โดยต้องได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ความเห็นของพวกเขาต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง และสิทธิของพวกเขาต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่
- กระบวนการนี้ควรถูกตรวจสอบโดยองค์กรอิสระเพื่อให้มั่นใจในความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติการจัดการสิ่งแวดล้อมของเนเธอร์แลนด์ (Environmental Management Act, 2010) กำหนดขั้นตอนเพื่อให้สาธารณชนได้รับข้อมูลและสามารถให้ความคิดเห็นตั้งแต่ต้นผ่านการปรึกษา การรับฟังความคิดเห็น และการเสนอข้อคิดเห็น กลไกเหล่านี้ช่วยเสริมความรับผิดชอบและการวางแผนอย่างมีส่วนร่วม
- รัฐบาลควรกำหนดให้รายงาน ESIA ต้องบูรณาการ “ประเด็นภูมิอากาศ” อย่างเป็นระบบ: การประเมินทุกโครงการต้องรวมถึงการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความยืดหยุ่นต่อภูมิอากาศ และการสอดคล้องกับเป้าหมายระดับชาติและนานาชาติ รวมถึงใช้วิธีการและเครื่องมือที่ช่วยให้คำนวณผลกระทบด้านภูมิอากาศได้ครบวงจร สถาบัน IIED ชี้ว่า แม้หลายประเทศจะมีกฎหมาย ESIA แต่ขาดข้อกำหนดที่ชัดเจนเรื่องภูมิอากาศทำให้ประเด็นนี้มักถูกมองข้ามในทางปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติการประเมินผลกระทบของแคนาดา (Impact Assessment Act, 2019) กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาว่า “โครงการนั้นช่วยหรือขัดขวางต่อความสามารถของรัฐบาลแคนาดาในการบรรลุพันธกรณีตามเป้าหมายภูมิอากาศของประเทศ” ทำให้แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่ฝังเกณฑ์ Paris Agreement ไว้ในกฎหมายการประเมินทุกฉบับ
- รัฐบาลควรกำหนดให้รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ และสังคม (EIA, CIA, SIA) ต้องเผยแพร่สู่สาธารณะอย่างครบถ้วน รวมถึงสรุปฉบับไม่เทคนิคและข้อมูลพื้นฐานในรูปแบบเปิดและอ่านได้ด้วยเครื่อง (machine-readable) พร้อมการตรวจสอบอิสระและแดชบอร์ดสาธารณะ สหภาพยุโรปภายใต้ Environmental Impact Assessment Directive ที่สอดคล้องกับอนุสัญญา Aarhus รับรองสิทธิของสาธารณะในการเข้าถึงเอกสาร EIA ทั้งหมด
- การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และสิทธิทางกฎหมายในการอุทธรณ์ รัฐสภายุโรปยังแนะนำให้รวมการประเมินผลกระทบทางสังคม (SIA) และการประเมินสิทธิมนุษยชนเป็นองค์ประกอบบังคับในอุตสาหกรรมเหมือง โครงการ Initiative for Responsible Mining Assurance (IRMA) เป็นตัวอย่างเชิงบวก โดยกำหนดให้มีการตรวจสอบโดยบุคคลที่สามครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และสิทธิมนุษยชน พร้อมเผยแพร่ผลการประเมินต่อสาธารณะ
เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านี้ (TO AVOID THESE PITFALLS):
โครงการ Roșia Montană ประเทศโรมาเนีย: โครงการนี้ถูกยุติหลังจากหลายองค์กร NGO เช่น TERRA Mileniul III, Greenpeace, Centre for Legal Resources และ Bankwatch วิพากษ์วิจารณ์รายงาน ESIA ว่ามีปัญหาในการปรึกษาสาธารณะ เอกสารไม่ครบถ้วน และขาดความโปร่งใส ต่อมา IFC (International Finance Corporation) ถอนการสนับสนุนทางการเงิน หลังจากที่ NGO ทั่วโลกเตือนถึงความเสี่ยงร้ายแรง รัฐสภาโรมาเนียจึงปฏิเสธโครงการในภายหลัง และพื้นที่ดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกของยูเนสโกในปี 2021
4. การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน (Emissions & Supply-Chain Transparency)
ความท้าทาย (THE CHALLENGES)
รอยเท้าคาร์บอนของอุตสาหกรรมเหมืองไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป การขุด ขนส่ง ประมวลผล และแปรรูปแร่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการผลิตแบตเตอรี่ กังหันลม และแผงโซลาร์เซลล์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อดูว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดโลกร้อนได้จริง หรือเพียงแค่แก้ปัญหาหนึ่งแต่สร้างอีกปัญหาหนึ่งขึ้นมา
เมื่อเหมืองเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1–3) อย่างโปร่งใส จะช่วยเปิดโปงผู้ประกอบการที่ก่อมลพิษและกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินมาตรการลดผลกระทบต่อภูมิอากาศ ความโปร่งใสนี้ยังช่วยให้ผู้ซื้อและผู้บริโภคเลือกซัพพลายเออร์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำได้อย่างมีข้อมูล
ข้อเท็จจริงสำคัญ (Key facts)
คลื่นการเปิดเผยข้อมูลของสหภาพยุโรป (EU disclosure wave):
ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป บริษัทเหมืองขนาดใหญ่ในยุโรปต้องรายงานข้อมูลคาร์บอนเฉพาะไซต์ตามกฎ Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ปี 2022 ข้อมูลจากเหมืองแร่แสดงว่าการปล่อย CO₂ แตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับวิธีการผลิต เกรดของแร่ และแหล่งพลังงาน เช่น การผลิตนิกเกิลอาจปล่อยคาร์บอนตั้งแต่ 20–80 ตัน CO₂e ต่อหนึ่งตันของผลิตภัณฑ์นิกเกิล
ต้นทุนภูมิอากาศที่ซ่อนอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Mining’s embedded climate cost):
งานวิจัยแบบ peer-reviewed พบว่าขั้นตอนต้นน้ำ (เช่น การขุดและการขนส่ง) ของวัสดุสำหรับแบตเตอรี่ มีส่วนทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 7.8–30.4% ของทั้งหมด
ช่องว่างของการรายงาน (Reporting gap):
รายงาน Deloitte Sustainability Action Report (2024) พบว่าแม้บริษัทเหมืองชั้นนำ 74% รายงานข้อมูล Scope 1 แต่มีเพียง 15% เท่านั้นที่รายงาน Scope 3
ความไม่โปร่งใสนำไปสู่การละเมิด (Opacity breeds abuse):
รายงานของ Global Witness ปี 2024 พบว่า การขาดความโปร่งใสและมาตรฐานธรรมาภิบาลอาจทำให้ปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความต้องการแร่ทรานซิชันเพิ่มสูงขึ้น
ข้อเสนอแนะ (RECOMMENDATIONS)
- นำระบบมาตรฐานการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1–3) มาใช้เป็นเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตเหมือง: ใช้มาตรฐานสากล เช่น Greenhouse Gas Protocol, Global Reporting Initiative (GRI) และ ICMM Mining Principles เพื่อวัดและรายงานการปล่อยอย่างโปร่งใสและเทียบเคียงกันได้ Greenhouse Gas Protocol พัฒนาโดย WRI และ WBCSD เป็นกรอบสากลที่ใช้ในการวัดและบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ
- เชื่อมโยงการเงินกับความโปร่งใส (Link money to openness): ผู้ให้กู้ภาครัฐ เช่น EIB, EBRD, GCF และหน่วยสินเชื่อส่งออก ควรให้เงินทุนเฉพาะกับเหมืองที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซอย่างครบถ้วน ตัวอย่างเช่น ธนาคารโลกเปิดตัวกองทุน Climate-Smart Mining Facility มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนบริษัทที่ทำเหมืองและแปรรูปแร่ในแนวทางเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
- นับรวมการปล่อยจากเหมืองในเป้าหมายภูมิอากาศระดับชาติ (Count mine emissions in climate pledges): เชิญ SBSTA (UNFCCC) พัฒนาเทมเพลตเพื่อให้รัฐบาลเพิ่มข้อมูลการปล่อยของเหมืองใน NDC ปี 2028 ตัวอย่าง: Canada’s Net-Zero Emissions Accountability Act (Bill C-12) กำหนดแผนการลดการปล่อย 45–50% ภายในปี 2035 จากระดับปี 2005
- ใช้ระบบติดตามแบบดิจิทัล (Use digital traceability): บังคับใช้เทคโนโลยี blockchain-style provenance สำหรับแร่ทรานซิชันที่นำเข้า สอดคล้องกับ EU Battery Regulation (2023/1542) ซึ่งจะมีผลในปี 2027 โดยให้มี “Battery Passport” แสดงข้อมูลคาร์บอนและวัฏจักรการรีไซเคิล
- พัฒนาหลักเกณฑ์ระหว่างประเทศ (Develop binding international guidelines):ให้สอดคล้องกับ UNFCCC, OECD Due Diligence Guidance และ UN Guiding Principles on Business and Human Rights เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานของแร่ไม่ซ้ำเติมวิกฤตภูมิอากาศ
เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านี้ (TO AVOID THESE PITFALLS):
กรณีอาเซอร์ไบจาน (Azerbaijan): ในฐานะเจ้าภาพ COP29 การเผาก๊าซทิ้งเพิ่มขึ้นกว่า 10% ระหว่างปี 2018–2023 ทำให้เกิดมลพิษระดับสูงและเสี่ยงต่อสุขภาพของชุมชน รายงานการปล่อยก๊าซของประเทศล่าช้าถึงปี 2024 สำหรับข้อมูลปี 2020–2022 การขาดความโปร่งใสนี้ทำให้การปล่อยก๊าซที่ไม่ได้ควบคุมยังคงดำเนินต่อไป และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของการดำเนินการด้านภูมิอากาศ
5. เศรษฐกิจหมุนเวียน การลดความต้องการ และการรีไซเคิล (Circular Economy, Demand Reduction & Recycling)
ความท้าทาย (THE CHALLENGES)
โลหะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุด คือโลหะที่ “เราไม่จำเป็นต้องขุดใหม่” รัฐบาลและอุตสาหกรรมต้องให้ความสำคัญกับการใช้วัสดุรีไซเคิล และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อลดการสกัดแร่ใหม่ โดยเฉพาะแร่ที่ใช้พลังงานฟอสซิลสูง ซึ่งจะปกป้องทั้งสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
การลดความต้องการ (Demand reduction) ทำได้โดยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้ทรัพยากรน้อยลง ซ่อมแซมและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ รวมถึงรีไซเคิลอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ความต้องการแร่ทรานซิชันอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัยต่อโลก โดยคำนึงถึงพันธมิตรจากประเทศ Global South ที่อุดมด้วยทรัพยากรแร่
ข้อเท็จจริงสำคัญ (Key facts)
การรีไซเคิลช่วยประหยัดพลังงาน:
การหลอมทองแดง อะลูมิเนียม หรือ นิกเกิลจากเศษโลหะกลับมาใช้ใหม่ สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 95% เมื่อเทียบกับการผลิตใหม่จากแร่ดิบ
ผลลัพธ์จากการลดความต้องการมีขนาดมหาศาล:
ตามรายงานของ UN International Resource Panel การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัสดุในอุตสาหกรรมหลัก เช่น อาคารและยานยนต์ สามารถลดการปล่อย CO₂e สะสมได้ถึง 25 กิกะตันระหว่างปี 2016–2060 ในกลุ่มประเทศ G7
การซ่อมดีกว่าการขุด (Repair beats mining):
การขยายอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEE) ด้วยกฎหมาย “สิทธิ์ในการซ่อม (Right-to-Repair)” ช่วยลดแรงกดดันต่อทรัพยากร เช่น การเสื่อมของดิน การตัดไม้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการปนเปื้อนน้ำ
ขยะอิเล็กทรอนิกส์อาจหนุนอาชญากรรม:
การส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม อาจทำให้โลหะมีค่าถูกลักลอบเข้าสู่ตลาดมืดและกลุ่มอาชญากรรม
ข้อเสนอแนะ (RECOMMENDATIONS)
- กำหนดโควตาเนื้อหาวัสดุรีไซเคิล (Set tough recycled-content quotas): รัฐบาลควรกำหนดอัตรารีไซเคิลขั้นต่ำ เช่น อะลูมิเนียม นิกเกิล ทองแดง และลิเทียม อย่างน้อย 25% ภายในปี 2030 และเพิ่มเป็น 40% ภายในปี 2035 ตัวอย่าง: เมืองอัมสเตอร์ดัมใช้หลักเกณฑ์การก่อสร้างหมุนเวียนตั้งแต่ปี 2023 โดยอาคารใหม่ต้องใช้วัสดุรีไซเคิลและออกแบบให้ถอดประกอบได้
- ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อการซ่อมแซม (Design products for repairability): รัฐบาลควรออกมาตรฐาน “ความสามารถในการซ่อม” สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น France’s Reparability Index และ EU Eco-Design Regulation ที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าที่ยั่งยืนมากขึ้น
- ปิดช่องว่างการส่งออกขยะ (Close the export loophole): ห้ามส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปยังประเทศที่ไม่มีศักยภาพการรีไซเคิล และปรับปรุงกฎ Basel Convention ให้เข้มงวดขึ้น บริษัทรีไซเคิลเช่น Umicore ในเบลเยียม แสดงให้เห็นว่าการรีไซเคิลสามารถลดมลพิษทางอากาศและน้ำได้ถึง 37% และ 44% ตามลำดับ
- จัดตั้งกองทุนสนับสนุนการรีไซเคิล (Dedicate funds for recycling initiatives): จัดสรรอย่างน้อย 20% ของ EU Innovation Fund เพื่อการเก็บรวบรวมและแปรรูปวัสดุหมุนเวียน เช่น โรงงาน “Revolt Ett” ในสวีเดนที่รีไซเคิลแบตเตอรี่ได้ 125,000 ตันต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนราว 80%
- นับรวมเศรษฐกิจหมุนเวียนในเป้าหมายภูมิอากาศ (Count circularity in climate pledges): ขอให้ UNFCCC SBSTA ให้ประเทศต่าง ๆ รวมข้อมูลการลดการปล่อยจากการรีไซเคิลและการยืดอายุสินค้าใน NDC ปี 2028
เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านี้ (TO AVOID THESE PITFALLS):
กรณีมาเลเซีย (2024): หน่วยงานศุลกากรของมาเลเซียยึดตู้คอนเทนเนอร์กว่า 100 ตู้ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งออกผิดกฎหมายจากประเทศตะวันตก ของเสียเหล่านี้ถูกอ้างว่าเป็น “อุปกรณ์ใช้งานซ้ำ” แต่แท้จริงถูกลักลอบเข้าโรงงานรีไซเคิลเถื่อน ซึ่งมักไม่มีมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหรือแรงงาน กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าการขาดระบบรีไซเคิลที่รับผิดชอบในประเทศพัฒนาแล้วสามารถก่อให้เกิด “ความอยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม” ในต่างประเทศ สนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติและบั่นทอนเป้าหมายของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว
เรียบเรียงจาก https://globalwitness.org/en/campaigns/transition-minerals/cop30-toolkit-for-policy-makers/
