สรุปความจาก https://www.theguardian.com/environment/article/2024/jul/23/world-temperature-records-shattered-hottest-day-climate-crisis?CMP=Share_iOSApp_Other

อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกทําลายสถิติในวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมาผลจากความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้ฟอสซิลและการเลี้ยงปศุสัตว์ อุณหภูมิอากาศพื้นผิวเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 17.09C (62.76F) จากข้อมูลเบื้องต้นโดย Copernicus Climate Change Service ที่เก็บข้อมูลย้อนหลังไปถึงปี 2483 ทุบสถิติอุณหภูมิอากาศพื้นผิวเฉลี่ยรายวัน 17.08C (62.74F) ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ระบุความแตกต่างนี้ไม่มีนัยในทางสถิติ

ถัดมาในวันที่ 22 กรกฎาคม 2567 ข้อมูลเบื้องต้นโดย Copernicus Climate Change Service ระบุ อุณหภูมิอากาศพื้นผิวเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ระดับ 17.15C ทุบสถิติที่ผ่านมาทั้งหมด

สิ่งที่ต้องกังวลจริงๆ คือ อุณหภูมิอากาศพื้นผิวเฉลี่ยในช่วง 13 เดือนที่ผ่านมากับบันทึกอุณหภูมิเฉลี่ยก่อนหน้านี้ที่เห็นชัดเจนว่ามีความแตกต่างกันมากเพียงใด เราอยู่ในอาณาเขตที่ไม่เคยสำรวจมาก่อน ขณะที่สภาพอากาศยังคงร้อนขึ้น เราจะต้องเห็นอุณหภูมิอากาศพื้นผิวเฉลี่ยใหม่ถูกทําลายสถิติในเดือนและปีต่อๆ ไป

อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกทําลายสถิตินี้เกิดขึ้นในขณะที่หลายส่วนของโลกเผชิญกับคลื่นความร้อนอันโหดร้ายทารุณ Zeke Hausfather นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศจาก Berkeley Earth กล่าวว่าสถิติอุณหภูมิดังกล่าว “เป็นสัญญาณที่น่ากังวล และมีโอกาสที่ปี 2567 จะร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวร้อนที่สุดในขณะนี้“

คาดว่า การร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วของพื้นผิวโลกจะชะลอลงในปลายปี 2567 นี้ อย่างน้อยก็ในช่วงสั้นๆ หากแบบแผนสภาพภูมิอากาศที่ทรงพลังเปลี่ยนจากสถานะปกติไปสู่ระยะที่เย็นกว่าที่เรียกว่า La Niña แต่แนวโน้มพื้นฐานของความร้อนทั่วโลกจะคงอยู่ตราบเท่าที่ยังมีก๊าซเรือนกระจกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศต่อไป

ศ.ปีเตอร์ ธอร์น ผู้อํานวยการศูนย์อิคารัสที่มหาวิทยาลัยเมย์โนธ ไอร์แลนด์ และผู้ร่วมเขียนรายงาน IPCC กล่าวว่า “วันหนึ่งในอนาคตสถิติอุณหภูมิรายวันที่ร้อนที่สุดนี้อาจกลายเป็นสถิติอุณหภูมิพื้นผิวโลกที่ “เย็นผิดปกติ” หากโลกไปไม่ถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างรวดเร็ว เพียงแค่เหลือบมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ – ไฟป่า น้ําท่วม คลื่นความร้อน – เราไม่ได้เตรียมพร้อมต่อวิกฤตโลกเดือดในอนาคตเลย ยังไม่นับว่า เราเตรียมพร้อมน้อยมากกับความสุดขั้วของสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้น“

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2567 นี้ หน่วยงาน Copernicus ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวมีระดับสูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 องศาฟาเรนไฮต์)เป็นเวลา 12 เดือนติดต่อกันเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกแตะที่ 1.3 องศาเซลเซียสแล้ว คาดว่า นโยบายสภาพภูมิอากาศที่ประชาคมโลกปัจจุบันก็จะยังทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มเป็น 2.5 องศาเซลเซียส ความแตกต่างที่ดูเหมือนน้อยนิดนี้เทียบกับวิธีที่ร่างกายมนุษย์ตอบสนองต่ออาการไข้ การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของอุณหภูมิร่างกายหมายถึงความแตกต่างระหว่างความรู้สึกไม่สบายและความเป็นความตาย

“การคงอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5C ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็รู้สึกเหมือนเป็นภารกิจที่สิ้นหวัง” ศาสตราจารย์ Vanesa Castán Broto ผู้นํากลุ่มวิจัยระบบสภาพภูมิอากาศในเมือง มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ และผู้ร่วมเขียนรายงาน IPCC

ข้อเสนอของ IPCC และทบวงพลังงานสากล(IEA) ระบุว่า จําเป็นต้องลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงอย่างมากเพื่อบรรลุ net zero ภายในปี 2593 การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2566 ซึ่งมีสมมุติฐานที่สมจริงกว่าการศึกษาก่อนหน้านี้ชี้ว่า ระหว่างปี 2563 ถึง 2593 อุปทานถ่านหินจะต้องลดลง 99% น้ํามัน 70% และก๊าซฟอสซิล 84% เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสภาพภูมิอากาศ