เรียบเรียงจากบทความของโฆเซ่ หลุยส์ การ์เซีย หัวหน้างานรณรงค์ด้านภูมิอากาศและพลังงาน กรีนพีซ สเปน ใน https://es.greenpeace.org/es/noticias/analisis-48-horas-despues-del-apagon-donde-esta-el-debate/

หลังจากระบบพลังงานล่มไปเมื่อสองวันก่อน ยังมีคำถามอีกมากที่ไร้คำตอบ แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่การคาดเดาต่างๆ ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งในรายการโทรทัศน์และกลุ่ม WhatsApp อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ความจริงแล้ว ไม่บ่อยนักที่ระบบพลังงาน—ซึ่งดูเป็นเรื่องห่างไกล ยุ่งยาก และเข้าใจยาก—จะกลายเป็นศูนย์กลางของวาระสาธารณะ ไม่ใช่เพราะเรื่องค่าไฟและค่าครองชีพ (ที่เคยเป็นประเด็นมาแล้วหลายครั้ง) แต่เพราะเป็นบริการที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน

แม้จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์เลวร้าย แต่ก็ถึงเวลาที่เราต้องพูดถึงประเด็นสำคัญที่กระทบเราทุกคน ไม่ใช่แค่เรื่องค่าไฟฟ้า เรากำลังห่วงใยสามประเด็นหลักต่อไปนี้สำหรับอนาคต:

1. พลังงานหมุนเวียน

พลังงานหมุนเวียนคือกุญแจในการสร้างระบบพลังงานที่ปลอดภัย เข้าถึงได้และยั่งยืน พร้อมรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศ กรีนพีซเคยแสดงให้เห็นมาแล้วเมื่อ 20 ปีก่อนว่า ระบบไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน 100% นั้นไม่เพียงจำเป็น แต่ยังเป็นไปได้จริงและให้ประโยชน์ต่อทุกคน

แต่การบรรลุเป้าหมายนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนจำนวนมากเข้าระบบเท่านั้น ยังต้องมีเครื่องมือเสริมเพื่อให้ระบบมีความยืดหยุ่นและฟื้นตัวได้ เช่น เครื่องกำเนิดพลังงานหมุนเวียนแบบจัดการได้ รวมถึงโซลาร์แบบเทอร์โมอิเล็กทริก ระบบกักเก็บพลังงานหลายรูปแบบ อินเวอร์เตอร์อัจฉริยะ ระบบผลิตและใช้ไฟเอง (autoconsumo) และไมโครกริดที่แยกตัวทำงานได้ ระบบตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟ (demand response)

ฝ่ายตรงข้ามพลังงานหมุนเวียนกำลังฉวยโอกาสโจมตีว่า “สเปนเดินเร็วเกินไปกับพลังงานสะอาดหมุนเวียนที่สะอาด” และต้องการให้เรากลับไปพึ่งพาก๊าซและนิวเคลียร์แบบเดิม

อย่าหลงกล เพราะความจริงแล้วพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงป้องกันไฟฟ้าดับได้ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดโลกร้อน และควบคู่กับการลดการบริโภคและการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นเครื่องมือรับประกันคุณภาพชีวิตในอนาคต

2. พลังงานนิวเคลียร์

มีการอ้างว่า การไม่มีไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์เป็นต้นเหตุของไฟดับ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะขณะนั้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ครึ่งหนึ่งยังคงดำเนินการอยู่ แต่สิ่งที่ปรากฏชัดคือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ได้ช่วยอะไรเลย กลับเป็นอุปสรรคในการฟื้นฟูระบบ

กลุ่มสนับสนุนนิวเคลียร์ใช้เหตุการณ์นี้เร่งผลักดันให้ระงับแผนการปลดแอกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และเรียกร้องเงินมหาศาลจากรัฐเพื่อยืดอายุโรงไฟฟ้าออกไป แต่ไฟดับครั้งนี้กลับพิสูจน์ว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไร้ประสิทธิภาพในการป้องกันหรือแก้ไขไฟฟ้าดับ แม้ผ่านไป 48 ชั่วโมง ก็ยังไม่สามารถเชื่อมต่อเข้าระบบได้สำเร็จ เพราะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและช้า

ยิ่งไปกว่านั้น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องการการระบายความร้อนทันทีในกรณีไฟฟ้าดับ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติแบบเชอร์โนบิลหรือฟุกุชิมะ หมายความว่า ทรัพยากรในยามฉุกเฉินที่ควรใช้ฟื้นฟูบริการพื้นฐาน กลับต้องถูกนำไปใช้เพื่อความปลอดภัยของนิวเคลียร์ก่อน

ตัวอย่างที่ชัดคือยูเครน ภายใต้สงคราม โรงไฟฟ้านิวเคลียร์กลายเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงระดับประเทศ ประเทศที่มีนิวเคลียร์จึงไม่ปลอดภัย ไม่ยืดหยุ่น และยากต่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดหมุนเวียนที่สะอาด

3. ก๊าซฟอสซิล

ผู้ชนะตัวจริงของเหตุการณ์ไฟฟ้าดับนี้อาจเป็นก๊าซ เพราะแม้จะดำเนินการช้า แต่ก็ช่วยฟื้นฟูระบบร่วมกับไฟฟ้าพลังน้ำได้ และถูกเสนอให้เป็นตัวเสริมของพลังงานหมุนเวียน

แต่หากปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็น “ชัยชนะของก๊าซฟอสซิล” จะเป็นข้ออ้างในการเดินหน้า “ระบบค่าความพร้อมจ่าย” (capacity payments) ซึ่งหมายถึงรัฐจะต้องจ่ายเงินให้โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลเพียงเพราะมัน “มีอยู่” แม้จะไม่ได้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ก๊าซฟอสซิลอยู่ในระบบไปตลอด ส่งผลร้ายต่อเป้าหมายลดการปล่อย CO₂ และมีเธน

การเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องมีกลยุทธ์เพื่อเลิกใช้ก๊าซฟอสซิลอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีทางเลือกมากมายที่สามารถทำได้

สรุป

เรายังต้องพูดคุยกันอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโปร่งใสในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า บทบาทของบรรษัทพลังงาน ความเป็นเจ้าของโครงข่ายไฟฟ้า พลังงานชุมชน หรือการผลิตไฟใช้เองในบ้านเรือน

แม้ประเด็นการพูดคุยดังกล่าวนี้มาจากเหตุไฟฟ้าดับ แต่ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพูดคุยและตัดสินใจร่วมกันว่า ระบบพลังงานควรเปลี่ยนไปในทิศทางใด เพื่อให้เป็นพลังงานหมุนเวียนที่มั่นคง ให้บริการที่จำเป็น และปกป้องชีวิตบนโลกใบนี้

การพูดคุยนี้ต้องไม่เกิดขึ้นเพียงในห้องประชุมของรัฐบาลหรือบรรษัทใหญ่ แต่ต้องเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะ เพราะคนธรรมดาอย่างเราคือผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และปลอดภัยสำหรับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์