
พาดหัวข่าว “วิธีที่ผู้ซื้อแร่ที่มีความสำคัญมากในสหรัฐฯ หลบเลี่ยงการห้ามส่งออกของจีน” จากสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อเร็วๆ นี้ อาจมีนัยสำคัญบางประการในสมการของความพยายามแก้วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง(กก/สาย/รวก/โขง)
แร่ที่มีความสำคัญมากนี้คือ พลวง(Antimony, Sb) และนี่คือการวิเคราะห์แบบปะติดปะต่อของผม
พลวง(Antimony, Sb)ในฐานะเป็นแร่ที่มีความสำคัญมาก(Critical Minerals)
ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก “พลวง(Antimony, Sb)” ในฐานะเป็นแร่ที่มีความสำคัญมาก(Critical Minerals) นอกเหนือไปจากลิเทียม(Li) วาเนเดียม(V) แกลเลียม(Ga) โคบอลต์(Co) นิกเกิล(Ni) แพลทตินัม(Pt) และแร่ธาตุหายาก(Rare Earth Elements-REEs) กันก่อน
แร่พลวง(Antimony, Sb)มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมหลายประเภท รวมถึงแบตเตอรี่ แผงโซลาร์ สารหน่วงไฟ และเครื่องกระสุน และอุตสาหกรรมตะกั่ว(Pb) รวมถึงเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการผลิตพลาสติก PET
ความต้องการแร่พลวง(Antimony, Sb)เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว โลหะสีขาวเงินชนิดนี้ยังมีความสำคัญต่อแผงโซลาร์โดยช่วยให้เซลล์แสงอาทิตย์แบบเพอรอฟสไกต์ทำงานได้ดีขึ้นด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับแสงและการแปลงพลังงาน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มเสถียรภาพทางความร้อนทำให้แผงโซลาร์ทนทานต่อสภาวะสุดขั้วได้ดียิ่งขึ้น
ในด้านการกักเก็บพลังงาน แบตเตอรี่โลหะเหลวใช้แร่พลวง(Antimony, Sb)เพื่อกักเก็บและจ่ายพลังงานส่วนเกินจากระบบโซลาร์ เมื่อการติดตั้งระบบโซลาร์เติบโตขึ้น บทบาทของแร่พลวง(Antimony, Sb)ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะขยายตัวตามไปด้วย
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DoD) ใช้แร่พลวง(Antimony, Sb)ในเครื่องกระสุนมากกว่า 200 ประเภทรวมถึงจานชนวนจุดระเบิด (percussion primers) และหัวกระสุนเจาะเกราะ
การใช้งานสำคัญบางประการของแร่พลวง(Antimony, Sb) รวมถึงโลหะผสมพลวงช่วยเพิ่มความทนทานของแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดในยานพาหนะทางทหาร คุณสมบัติในการหน่วงไฟของพลวงช่วยเสริมความต้านทานไฟให้กับเครื่องแบบและอุปกรณ์ทางทหาร แร่พลวง(Antimony, Sb)ยังนำไปใช้ในเซมิคอนดักเตอร์สำหรับเซ็นเซอร์อินฟราเรดและอุปกรณ์มองกลางคืนซึ่งมีความสำคัญต่อเทคโนโลยีทางการทหาร
ต้องกล่าวไว้ในที่นี้ว่า พลวง(Antimony, Sb) ไม่ใช่แร่ธาตุหายาก(REE) และแร่ธาตุหายาก(REE) เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล “แร่ที่มีความสำคัญมาก(critical minerals)” ที่มีนิยามที่เลื่อนไหลไม่ตายตัว
ณ ขณะนี้ นิยามของแร่พลวง(Antimony, Sb) ในฐานะเป็นวัตถุดิบ/แร่ธาตุที่มีความสำคัญมากนั้นจำกัดอยู่ในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลียเป็นหลัก เนื่องจากมีการพึ่งพาการนำเข้าในระดับสูง (เสี่ยงต่อการขาดแคลน) มีทางเลือกในการทดแทนที่จำกัด มีบทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจภูมิภาคและ/หรือความมั่นคงแห่งชาติ
ในทางสากล มีการจัดตั้ง The International Antimony Association(i2a) ในปี 2551 โดยมีฐานอยู่ที่กรุง Brussels โดยเป็นตัวแทนองค์กรตัวแทนของผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ใช้สารประกอบแร่พลวง(Antimony, Sb)หลายชนิด เป้าหมายของ i2a คือการผลิต การใช้งาน และการรีไซเคิลแร่พลวง(Antimony, Sb)อย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ
จีนเป็นผู้ผลิตแร่พลวง(Antimony, Sb) รายใหญ่ที่สุด แต่ผลผลิตได้ลดลงอย่างมาก ผลผลิตในปี พ.ศ.2566 ลดลงจาก 60,000 ตัน (ส่วนแบ่งตลาด 55%) ในปี 2565 เนื่องจากการปิดเหมืองและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น
มณฑลหูหนานซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตแร่พลวง(Antimony, Sb)หลักได้หยุดการผลิตตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายนเพื่อดำเนินการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม อุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มเติมในหูหนานและกุ้ยโจวสร้างความปั่นป่วนต่อการทำเหมืองช่วงต้นปี 2566 ส่งผลให้ผลผลิตลดลงและมีส่วนสำคัญต่อการขาดแคลนอุปทานทั่วโลกในปัจจุบัน
นอกจากนี้ จีนยังเข้มงวดการควบคุมการส่งออกแร่พลวง(Antimony, Sb) มากขึ้นเพื่อรักษาสถานะในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ออกมาตรการจำกัดเทคโนโลยีสำคัญ เช่น ชิปขั้นสูง โดยจีนใช้ยุทธวิธีคล้ายกันกับธาตุเจอร์เมเนียม แกลเลียม กราไฟต์ และแร่ธาตุหายากอื่นๆ
เมียนมาในห่วงโซ่อุปทานของแร่พลวง(Antimony, Sb)

ข้อมูลของ USGS ระบุว่า เมียนมาเป็นผู้ผลิตแร่พลวง(Antimony, Sb) รายใหญ่อันดับ 4 รองจากจีน ทากิซสถานและตุรกีในปี พ.ศ.2566 เช่นเดียวกับรัสเซียที่ครอบครองแหล่งสำรองแร่ราว 17% แต่เผชิญกับความไม่แน่นอนอันเป็นผลจากการรุกรานยูเครน เมียนมาก็ประสบปัญหาการหยุดชะงักของอุปทานเนื่องจากความวุ่นวายทางการเมือง เมียนมามีสัดส่วนประมาณร้อยละ 5 ของการผลิตแร่พลวง(Antimony, Sb)ทั่วโลก
ตลาดส่งออกแร่พลวงและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องของเมียนมารวมถึงไทย สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ประเทศปลายทางสำคัญอื่น ๆ คือ ฝรั่งเศสและจีน
ตามที่รายงานของสำนักข่าว Reuters โดย Straitstimes นับตั้งแต่จีนสั่งห้ามการส่งออกแร่ที่มีความสำคัญมาก (Critical Minerals) รวมถึงแร่พลวงไปยังสหรัฐฯ ในปี พ.ศ.2567 ปริมาณแร่พลวง (Antimony, Sb) ได้หลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐฯ จากไทยและเม็กซิโกในปริมาณที่สูงผิดปกติ
ตามบันทึกการขนส่งที่ Reuters ตรวจสอบพบว่า Thai Unipet Industries บริษัทลูกในไทยของบริษัท Youngsun Chemicals ผู้ผลิตแร่พลวงของจีน ทำการค้าขายกับสหรัฐฯ อย่างคึกคักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา Unipet ส่งออกสินค้าพลวงจากไทยไปสหรัฐฯ อย่างน้อย 3,366 ตัน ระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 จากใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) 36 ฉบับ ซึ่งบันทึกโดยแพลตฟอร์ม ImportYeti และ Export Genius ตัวเลขนี้สูงกว่าในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 ถึงประมาณ 27 เท่า อย่างไรก็ตาม บันทึกดังกล่าวระบุรายละเอียดสินค้า คู่ค้า และท่าเรือต้นทาง แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และไม่มีหลักฐานแน่ชัดเรื่องการอ้อมเส้นทาง
เมียนมา-ไทย : รอยต่อห่วงโซ่อุปทานแร่พลวง(Antimony, Sb)
ข้อมูลจาก World Integrated Trade Solution ของธนาคารโลก ปี 2566 ไทยนำเข้าแร่พลวง(Antimony, Sb) จากเมียนมาในปริมาณ 891.108 ตัน ส่วนสถิติการนำเข้าที่รายงานโดยสำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 ในปี 2567 แร่พลวง(Antimony, Sb)และโลหะพลวงที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปจากเมียนมานำเข้าไทยผ่านด่านแม่สอด 13,517.34 ตัน และด่านแม่ฮ่องสอนอีก 25 ตัน
รายงานโดยสำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 ในปี 2568 (มกราคมถึงปัจจุบัน) นอกจากด่านแม่สอดและแม่ฮ่องสอน แร่พลวง(Antimony, Sb)จากเมียนมายังนำเข้าไทยผ่านด่านท่าเรือเชียงของ ท่าเรือเชียงแสนและด่านแม่สะเรียงรวมกันทั้งหมดเป็น 46,440.91 ตัน เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าเทียบกับสถิติปี 2567

ในขณะที่ข้อมูลปริมาณนำเข้าแร่พลวงจากเมียนมาจากพิกัดอัตราศุลกากร (สินแร่และหัวแร่พลวง พิกัด 2617.10.00 และ 2617.90.00) ซึ่งรวมการนำเข้าทั้งหมดมีภาพที่แตกต่างออกไป(ดูจากกราฟด้านล่าง)

ข้อมูลจากกราฟทั้งสองสะท้อนถึงการที่ประเทศไทยกลายเป็น “การอ้อมเส้นทาง(bypass)” ของแร่ที่มีความสำคัญมากอย่างแร่พลวงซึ่งที่ผ่านมาการส่งออกจากเมียนมาอาจมีปลายทางที่จีนเป็นหลักก่อนปี พ.ศ.2567
สารประกอบ Antimony oxides จากไทยไปสหรัฐฯ
การส่งออกผลิตภัณฑ์แร่พลวง(Antimony, Sb) จากไทยไปยังสหรัฐฯ จะอยู่ในรูป สารประกอบ Antimony oxides อ้างอิงจากการสืบค้นผ่านพิกัดอัตราศุลกากร(HS-code 28258000) Antimony oxides เป็นสารประกอบอนินทรีย์ของพลวง (Antimony) และออกซิเจน โดยมีสูตรเคมีหลักคือ Sb2O3 ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Antimony trioxide หรือ Antimony sesquioxide ถือว่าเป็นสารประกอบพลวงที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ที่สำคัญที่สุดและเป็นผงสีขาวละเอียด

จากข้อมูลพิกัดอัตราศุลกากร(HS-code 28258000) ปริมาณส่งออก Antimony oxides จากไทยไปยังสหรัฐฯ ในปี พ.ศ.2567 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเทียบกับปี พ.ศ.2566 และจนถึงเดืิอนพฤษภาคม 2568 ปริมาณส่งออก Antimony oxides จากไทยไปยังสหรัฐฯ ปริมาณ 2,364.5 ตัน หรือเกือบเท่ากับปริมาณส่งออกในปี พ.ศ.2567 ทั้งปี
เมื่อนำตัวเลขดังกล่าวข้างต้นมาเทียบเคียงกับการส่งออกสินค้าแร่พลวงจากไทยไปสหรัฐฯ ของบริษัท Thai Unipet Industries ที่รายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ในปริมาณ 3,366 ตัน จะเห็นว่ามีปริมาณที่สอดสอดใกล้เคียงกัน (เฉพาะเดือนธันวาคม 2567 ปริมาณส่งออก Antimony oxides ตามพิกัดอัตราศุลกากร(HS-code 28258000) จากไทยไปยังสหรัฐฯ มีปริมาณ 760 ตัน เมื่อรวมกับปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม) จะเป็น 3,124.5 ตัน)
อาจสรุปเบื้องต้นในที่นี้ได้ว่า ไทยกลายเป็นเพียงทางลัดของห่วงโซ่อุปทานแร่ที่มีความสำคัญมาก(Criticals Minerals)อย่างแร่พลวง(Antimony, Sb) และเราแทบจะไม่รู้อะไรเลยในเรื่องนี้
สมการทางอ้อมเพื่อช่วยกู้วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง(กก/สาย/รวก/โขง)

เมื่อปะติดปะต่อห่วงโซ่อุปทานของแร่พลวงตามเรื่องราวข้างต้น มีประเด็นที่เราต้องฉุกคิดและต่อยอดเพื่อบูรณาการกับแนวทางกอบกู้วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง(กก/สาย/รวก/โขง) ดังนี้
- บรรดาสินแร่ที่ไทยนำเข้าจากเมียนมาผ่านด่านต่างๆ ของสำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 แร่พลวง(Antimony, Sb) ถือว่าโดดเด่นมากที่สุดในแง่ของปริมาณ ด่านที่มีการนำเข้ามากที่สุดคือด่านแม่สอดซึ่งสะท้อนถึงทำเลที่ตั้งของแหล่งแร่พลวง(Antimony Belt)ในเขตรัฐคะเรนนีต่อเนื่องไปจนถึงแถบพื้นที่ปากแม่น้ำสาละวิน ขึ้นไปถึงรัฐคะยา อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นปี 2568 มีการนำเข้าแร่พลวง(Antimony, Sb)จากเมียนมาผ่านด่านท่าเรือเชียงแสนและเชียงของอาจมีนัยยะถึงแหล่งแร่พลวง(Antimony Belt)ในพื้นที่ลุ่มน้ำอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง(กก/สาย/รวก/โขง)
- บางโครงสร้างทางธรณีวิทยา แร่พลวง(Antimony, Sb) และทองอาจพบร่วมกันได้เช่นในสายแร่ที่เป็นไฮโดรเทอร์มอล(Hydrothermal veins) มีกิจการเหมืองแร่ในหลายประเทศเช่น ออสเตรเลีย มุ่งเป้าไปที่โลหะทั้งสองชนิด บางครั้งเน้นการสกัดทองโดยมีแร่พลวงเป็นผลพลอยได้ หรืออาจใช้แนวทางที่ให้ความสำคัญกับการทำเหมืองทั้งสองทรัพยากรเท่าๆ กัน ในงานสำรวจวิจัยที่จะมีขึ้นเพื่อวิเคราะห์การขยายตัวและผลกระทบของเหมืองทองในรัฐฉานที่มีต่อแม่น้ำกก/สาย/รวก/โขง ก็ควรที่จะผนวกความเป็นไปได้ของการสกัดแร่พลวงเข้าไปด้วย
- ในเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่าโรงถลุงแร่พลวงในมณฑลหูหนานของจีนซึ่งดำเนินการโดยบริษัทหูหนานโกลด์ คอร์ปอเรชันได้ยุติการผลิตแล้ว นอกจากนี้เกือบครึ่งหนึ่งของโรงถลุงแร่พลวงในจีนกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนแร่จนไม่สามารถดำเนินการได้ สถานการณ์นี้อาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันในห่วงโซ่อุปทานของแร่พลวงในฐานะเป็น critical minerals ในเมียนมา นำไปสู่การขยายตัวของการทำเหมืองแร่ในแถบ Antimony Belt ในรัฐฉาน และอาจขยายวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง(กก/สาย/รวก/โขง)ให้รุนแรงมากขึ้นไปอีก
- ร่าง manuscript ชื่อ Some critical mineral and element occurrences and potential in Myanmar ซึ่งเสนอโดย Department of Geological Survey and Minerals Exploration Ministry of Natural Resources and Environmental Conservation, Naypyitaw, Myanmar และตีพิมพ์ลงใน Thai Geoscience Journal เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2565 ระบุชัดเจนว่า “เมียนมามุ่งเน้นการสำรวจแร่ที่มีความสำคัญมาก(critical Minerals) ในกรณีของแร่หายาก(REEs) มีพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการศึกษาวิจัยมี 8 พื้นที่ หนึ่งในนั้นคือรัฐฉานที่ด้านตะวันออกจรดแม่น้ำโขง และด้านตะวันตกจรดแม่น้ำสาละวิน ด้านเหนือจรดพรมแดนจีนและด้านใต้จรดพรมแดนไทย(เชียงราย/เชียงใหม่) หากแนวทางกล่าวนี้เป็นจริง ก็จะเป็นความท้าทายหลักของการกอบกู้ฟื้นฟูวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง(กก/สาย/รวก/โขง)อย่างแท้จริง (ในเมียนมา แร่หายาก (REEs) ส่วนใหญ่พบร่วมกับหินแกรนิตที่แทรกตัวเข้าไปในแนวหินแปรโมก๊อก (Mogok Metamorphic Belt – MMB) โดยเฉพาะบริเวณทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ)
- รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์เชิงรุกและเร่งด่วนต่อวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง(กก/สาย/รวก/โขง) โดยใช้ “ห่วงโซ่อุปทาน” ของแร่ที่มีความสำคัญมาก(Critical Minerals) ซึ่งรวมถึงแร่หายาก(REEs) มาริเริ่มขับเคลื่อนความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในภาคการขุดเจาะทรัพยากร หนึ่งในนั้นคือการเข้าเป็นสมาชิกโครงการริเริ่มความโปร่งใสในอุตสาหกรรมสกัดทรัพยากร (EITI) ซึ่งประกอบด้วยองค์กรภาคประชาสังคม อุตสาหกรรมขุดเจาะและสกัดทรัพยากร หุ้นส่วนพัฒนาและผู้บริจาค
- ยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อกู้วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง(กก/สาย/รวก/โขง) ที่รัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญคือเป็นผู้นำผลักดันประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและจีนเพื่อยกร่าง “หลักการ(guiding principle)ว่าด้วย critical minerals แห่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง“ โดยหนึ่งในหลักการนั้นคือการปกป้องพื้นที่เปราะบางและสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น เนื่องจากการทำเหมืองและแปรรูปแร่เพื่อการเปลี่ยนผ่าน (transition minerals) ยังคงก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม ต้องมีการกำหนด ‘เขตห้ามแตะต้อง’ (No-Go Zones) เพื่อปลอดการทำเหมืองแร่เพื่อการเปลี่ยนผ่านและกำหนดมาตรการคุ้มครองที่เข้มแข็งขึ้นเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น สิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นต้องได้รับการเคารพอย่างแท้จริง
