จีนจะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนอนาคตสะอาดและอัจฉริยะของโลกเราได้ต่อไปหรือไม่?

เดือนธันวาคม 2558 ที่กรุงปารีส มีการบรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศซึ่งวางเส้นทางระยะยาวของโลกสู่การลดการพึ่งพาคาร์บอนในการเติบโตทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีที่มีนวัตกรรม เช่น พลังงานหมุนเวียน การกักเก็บพลังงาน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกมองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการปฏิวัติ “สะอาด เขียวและอัจฉริยะ” ที่กำลังจะมาถึง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเจาะลึกเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ จะพบปัญหาสำคัญที่ร้ายแรงแต่กลับถูกมองข้าม นั่นคือ แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ซึ่งเป็นกลุ่มแร่ 17 ชนิดที่มักถูกขนานนามว่า “วิตามินของอุตสาหกรรม” อาจกลายเป็นคอขวดของนวัตกรรมสะอาด เขียวและอัจฉริยะเหล่านี้
ตั้งแต่กังหันลมในทะเลไปจนถึงสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ Apple หรือ Xiaomi — แรร์เอิร์ธฝังอยู่ในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เทคโนโลยีอัจฉริยะและอีกมากมาย แรร์เอิร์ธจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอนาคตที่ไม่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ฉลาดขึ้นและเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ เราไม่อาจบรรลุอนาคตคาร์บอนต่ำได้หากขาดเทคโนโลยีสะอาดเหล่านี้ และเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ไม่อาจทำงานได้หากปราศจากแรร์เอิร์ธ
ในช่วงที่จีนครองความเป็นใหญ่สูงสุดเมื่อปี 2553 ประเทศจีนจัดหาแรร์เอิร์ธเกือบทั้งหมดของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 92% ส่งผลให้ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา จีนในฐานะผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดต้องแบกรับต้นทุนสิ่งแวดล้อมมหาศาลจากการทำเหมืองและการสกัดแรร์เอิร์ธอย่างไร้การควบคุมที่มีกำไรต่ำ ที่มองโกเลียใน(Inner Mongolia) ทางตอนเหนือของจีน เขื่อนกักเก็บกากแร่กัมมันตรังสีที่เมืองเป่าตู้ กลายเป็น “คำสาปแห่งความตาย” ต่อหมู่บ้านใกล้เคียง บางคนถึงกับเรียกสิ่งนี้ว่า “ระเบิดเวลาของแม่น้ำเหลือง” ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 10 กิโลเมตร
ในขณะเดียวกัน จีนตอนใต้ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแรร์เอิร์ธหนักส่วนใหญ่ของโลก การทำเหมืองขนาดเล็กที่มีการสกัดซึ่งก่อมลพิษรุนแรงทำให้แหล่งน้ำดื่มและพื้นที่เพาะปลูกของชุมชนท้องถิ่นปนเปื้อน เมืองใหญ่ของจีนที่อยู่ปลายน้ำ เช่น กวางโจว เซินเจิ้น และฮ่องกง ก็อาจได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนพิษที่เกิดขึ้นต้นน้ำ
ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา จีนออกนโยบายเข้มงวดหลายฉบับเพื่อควบคุมการทำเหมืองและการค้าธุรกิจแรร์เอิร์ธ เช่น ระบบใบอนุญาตและโควตาการผลิต ระบบใบอนุญาตและโควตาการส่งออก รวมถึงการจัดเก็บภาษีทรัพยากรและภาษีการส่งออกโดยอ้างเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม ความจำเป็นในการฟื้นฟูพื้นที่ และการควบคุมการผลิตเพื่อจำกัดมลพิษเพิ่มเติม
ในเดือนกรกฎาคม 2553 จีนลดโควตาการส่งออกลง 22.5% ส่งผลให้ผู้รับแรร์เอิร์ธรายใหญ่ที่สุด ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ออกมาคัดค้านและยื่นเรื่องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) โดยอ้างว่านโยบายดังกล่าวเป็นการกีดกันทางการค้าและละเมิดการค้าเสรี มีการกล่าวหาว่าจีนใช้สิ่งแวดล้อมเป็นข้ออ้างเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดโลกในอุตสาหกรรมปลายน้ำของแรร์เอิร์ธ ในปี 2557 WTO ตัดสินให้จีนแพ้คดีโดยระบุว่านโยบายควบคุมเชิงปริมาณของจีน “ไม่สามารถอ้างความชอบธรรมภายใต้ข้อยกเว้นการอนุรักษ์ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดสิ้นได้” และภาษีการส่งออกก็ “ไม่จำเป็นต่อการคุ้มครองชีวิตหรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช”
ภายหลังคำตัดสินของ WTO จีนยกเลิกระบบใบอนุญาตและโควตาการส่งออกแรร์เอิร์ธในปี 2558 และใช้ระบบใบอนุญาตแทน แต่คำถามก็คือสิ่งนี้ช่วยสร้าง “สนามแข่งขันที่เท่าเทียม” ให้แก่ผู้ผลิตรายอื่นในโลกแล้วหรือยัง? และป้องกันไม่ให้จีนครองความเป็นใหญ่ในตลาดแรร์เอิร์ธโลกได้จริงหรือไม่?
ตามข้อมูลของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ส่วนแบ่งแรร์เอิร์ธของจีนในตลาดโลกลดลงจากจุดสูงสุด 92% ในปี 2553 เหลือ 85% ในปี 2558 ปริมาณการผลิตโดยรวมลดลง 12.5% อย่างไรก็ตาม โควตาการผลิตแรร์เอิร์ธอย่างเป็นทางการของจีนในช่วงเวลาเดียวกัน (2553–2558) กลับเพิ่มขึ้นถึง 18% ก่อนปี 2557 ตัวเลขทางการของจีนมักต่ำกว่าข้อมูลของ USGS ความแตกต่างนี้อาจเกิดจากการเติบโตของตลาดมืดแรร์เอิร์ธหรือไม่? จีนกำลังเพิ่มโควตาเพื่อปราบตลาดมืดหรือไม่? หลายฝ่ายเชื่อว่าตลาดมืดนี้ถูกผลักดันโดย 1) ข้อพิพาทกับ WTO และ 2) การเพิ่มภาษีทรัพยากรเป็นสองเท่าในปี 2554 เพื่อจัดการกับมลพิษสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันจีนยังคงเป็นผู้ผลิตแรร์เอิร์ธรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ปัญหามลพิษก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ แหล่งน้ำของจีนปนเปื้อนอย่างหนัก และมูลค่าความเสียหายสิ่งแวดล้อมคิดเป็น 3.8 หมื่นล้านหยวนจากการทำเหมืองในพื้นที่เมืองก้านโจว(Ganzhou) ทางตอนใต้ ที่ประเมินโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) ก็ยังไม่ได้รับการชำระ อีกทั้งแทบไม่มีการรายงานจากสื่อ ขณะที่สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรปดูเหมือนจะยอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น “ความชั่วร้ายที่จำเป็น” ในนามของ “การค้าเสรี”
หลายทศวรรษของการเติบโตแบบไร้การควบคุม จีนตัดสินใจครั้งใหญ่ในปี 2556 เพื่อควบรวมอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธภายในประเทศให้เหลือ 6 กลุ่มใหญ่ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 99.9% ของโควตาการผลิตแรร์เอิร์ธในครึ่งแรกของปี 2556 ทั้ง 6 กลุ่มนี้เป็นรัฐวิสาหกิจ และ 5 แห่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่และ/หรือฮ่องกง
ภายใต้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นและเกณฑ์การเข้าถึงตลาดที่รัดกุมกว่าเดิม อุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธกำลังก้าวไปสู่การรวมศูนย์และการทำให้เป็นของรัฐ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของจีนเมื่อหลายทศวรรษก่อน กฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของจีนที่เข้มงวดที่สุด พร้อมโทษร้ายแรงรวมถึงการจำคุก อาจหมายถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดมากขึ้นในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธ ความเป็นจริงคือ เมื่อคำนึงถึงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว อุตสาหกรรมนี้อาจดำเนินไปได้อย่างคุ้มค่าเฉพาะในบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะสามารถแบกรับต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมายและต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นได้
ตัวอย่างเช่น มูลค่าตลาดรวมของรัฐวิสาหกิจแรร์เอิร์ธ 5 แห่งที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ (ภายหลังการควบรวมอุตสาหกรรม) มีเพียง 154,000 ล้านหยวน (23.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งครอบครองโควตาการผลิตแรร์เอิร์ธของจีนเกือบสามในสี่ในครึ่งแรกของปี 2016 หากคำนึงถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อม 38,000 ล้านหยวนที่เกิดขึ้นเพียงพื้นที่เดียว (ซึ่งมีโควตาผลิตเพียง 8.6% ของแรร์เอิร์ธทั้งหมดในจีน) ย่อมทำให้โครงสร้างเศรษฐศาสตร์ของตลาดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ดูเหมือนว่าทิศทางเดียวของ ราคาตลาดโลกของแรร์เอิร์ธ คือการพุ่งสูงขึ้นหากนับรวมต้นทุนสิ่งแวดล้อมด้วย แล้วสิ่งนี้จะสะท้อนออกมาเป็นราคาที่สูงขึ้นของสินค้าพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น สินค้าเหล่านี้อาจถูกมองว่าน่าดึงดูดน้อยลงและจับต้องได้ยากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตลดการใช้แรร์เอิร์ธลง ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาจึงอาจทำงานได้ด้อยลง และมีประสิทธิภาพด้านพลังงานน้อยลง
ในปัจจุบัน คลังของจีนกำลังรับภาระค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเพื่อรักษาราคาให้ต่ำ แต่ต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่แท้จริงกลับตกอยู่กับ น้ำและดินที่ปนเปื้อน รวมถึงสุขภาพและชีวิตของชาวบ้านในจีน คำถามคือ เราควรยอมให้สิ่งนี้ดำเนินต่อไปหรือไม่? และในฐานะผู้บริโภค เรามีความรับผิดชอบอย่างไร? เราหลายคนใช้สินค้าที่อาศัยแรร์เอิร์ธ บริษัทจำนวนมากทำกำไรจากสิ่งนี้ และระบบกลาโหมของหลายประเทศก็พึ่งพามัน เราจะสามารถนิ่งเฉยและปล่อยให้จีนรับต้นทุนนี้เพียงลำพังได้หรือไม่?
ความขัดแย้งนี้ (paradox) สะท้อนให้เห็นว่า ในขณะที่โลกแสวงหาความสะอาดและเขียว จีนกลับเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำ และในขณะเดียวกันก็ผลักดันแนวคิด “จีนที่งดงาม” (Beautiful China) ที่ “น้ำใสสะอาด” “ผืนดินเขียวชอุ่ม” และ “ท้องฟ้าสีคราม”
อนาคตสะอาดและอัจฉริยะของโลกควรถูกขับเคลื่อนด้วยต้นทุนจากจีนหรือไม่?
ในรายงานฉบับนี้ เราสำรวจ “เงามืด” หลายด้านของแรร์เอิร์ธ ตั้งแต่การเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคตคาร์บอนต่ำ ไปจนถึงตลาดมืดและผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ย้อนแย้ง รวมถึงการขาดความรับผิดชอบทั้งในระดับโลก ระดับประเทศ และระดับองค์กร ต่อความเสียหายเหล่านี้ ด้วยการเปิดโปง “กิจกรรมอันมืดมน” นี้ เราหวังว่าจะก่อให้เกิดโครงสร้างการกำกับดูแลที่รับผิดชอบทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก
ผู้นำธุรกิจ ผู้กำหนดนโยบายและผู้บริโภคทุกคนจำเป็นต้องทบทวนว่าเราจะสร้างอนาคตคาร์บอนต่ำอย่างไรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุด การสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนด้วยการแลกมาด้วยสิ่งแวดล้อมและชีวิตของผู้คนในประเทศผู้ผลิตแร่ถือเป็นสิ่งที่ขัดแย้งและไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
เรียบเรียงจาก RARE EARTHS: SHADES OF GREY : Can China Continue To Fuel Our Global Clean & Smart Future.
Lead author: Hongqiao Liu
Editor: Dawn McGregorOther
Contributors: Debra Tan & Feng Hu
Infographics: Charmaine Chang
Published: June 2016
