LNG Terminal at Map Ta Hut (Photo by Tara Buakamsri)

การเปลี่ยนผ่านพลังงานและนโยบายสภาพภูมิอากาศของไทยมาถึงจุดพลิกผันอีกครั้งจากกรณีที่กลุ่มบริษัท ปตท. และ Glenfarne Group ผู้พัฒนาหลักโครงการ Alaska LNG ได้ลงนามในข้อตกลงร่วมศึกษาการจัดหาก๊าซฟอสซิลเหลว(LNG) ระยะยาวจำนวน 2 ล้านตันต่อปีเป็นเวลา 20 ปี [i]

ข้อมูลที่รวบรวมโดย Global Energy Monitor[ii] และ Friends of the Earth (FoE)[iii] ระบุว่า โครงการดังกล่าวจะส่งก๊าซฟอสซิลเหลว 3.5 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันจากแหล่งก๊าซ North Slope ของรัฐอะแลสกาผ่านท่อส่งก๊าซ Alaska LNG Pipeline(AKLNG) ยาว 800 ไมล์ไปยังสถานีแปรรูปก๊าซเป็นของเหลว(Liquefaction Facility) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อการส่งออกไปยังทวีปเอเชีย โครงการดังกล่าวและโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซ นอกจากจะเป็นโครงการด้านพลังงานขนาดใหญ่ที่ล่าช้ามาเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษเนื่องจากความไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจและมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปอเมริกาเหนือยังเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวจากผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในอะแลสกาอีกด้วย [iv]

การขนส่งก๊าซฟอสซิลโดยเรือเดินสมุทรยังเป็นสาเหตุของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากก๊าซจะถูกอัดให้เป็นของเหลวด้วยอุณหภูมิติดลบ 160 องศาเซลเซียสซึ่งใช้พลังงานมหาศาลราวร้อยละ 10 ของก๊าซฟอสซิลที่จ่ายเข้าไปและต้องใช้สารทำความเย็นที่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ กระบวนการทำให้ก๊าซฟอสซิลเป็นของเหลว(liquefaction) การขนส่งทางเรือและการแปรสภาพก๊าซฟอสซิลเหลว(regasification) จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ถึง 21 ในช่วงกรอบเวลา 20 ปี [v]

กัญจน์ ทัตติยกุล ผู้ประสานงานแนวร่วม Fossil Free Thailand กล่าวว่า

“แทนที่กลุ่มบริษัท ปตท. และผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานจะตระหนักถึงการลงทุนที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนตามแนว ESG และหลักการ Taxonomy รวมถึงทบทวนบทบาทของตนเพื่อเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของพลังงานหมุนเวียนสะอาดโดยเลิกเสพติดเชื้อเพลิงฟอสซิล แบบจำลองทางธุรกิจจากข้อตกลงข้างต้นนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่เป็นธรรมทางพลังงานให้เพิ่มมากขึ้น และบ่อนทำลายศักยภาพของสังคมไทยในการรับมือกับวิกฤตโลกเดือดที่ทวีความสุดขั้ว ที่สำคัญ การนำเข้าก๊าซฟอสซิลเหลวนี้ขัดแย้งกับฉากทัศน์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ (net-zero emissions scenarios) ตามนโยบายสภาพภูมิอากาศของไทย รวมถึงแผนการลดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซฟอสซิลตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับปี 2024 (Power Development Plan 2024) ของประเทศที่มีการลดปริมาณการใช้ก๊าซฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจะต้องยกเลิกนโยบายใช้ก๊าซฟอสซิลเหลวในการผลิตไฟฟ้า หยุดการอนุมัติเพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างโครงการท่าเรือก๊าซฟอสซิลเหลวและท่อส่งก๊าซ โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลเหลวแห่งใหม่ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาที่ฉะเชิงเทราในทันที”

นอกจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นจากขั้นตอนการผลิตและการขนส่งแล้ว หากมีการนำเข้าก๊าซฟอสซิลเหลวเข้ามาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าก็จะยิ่งกระทบต่อค่าไฟของประชาชนในประเทศในอนาคต [vi] เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มมากขึ้น

อรชา จันทร์เดช ผู้แทนเครือข่ายปฏิบัติการลดโลกร้อน(Thai C-CAN)[vii] และแนวร่วม Fossil Free Thailand กล่าวเสริมว่า “ไม่มีเหตุผลใดๆ รวมถึงข้ออ้างเรื่องความมั่นคงทางพลังงานที่จะต้องนำเข้าก๊าซฟอสซิลเหลวจากอแลสกา 2 ล้านตันต่อปีต่อเนื่องไปอีก 20 ปี ทำไมเราจะต้องแบกภาระความไม่เป็นธรรมของค่าไฟเพิ่มขึ้นอีก ความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริงคือการหยุดลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) จากโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ทั้งหมดจนกว่าไฟฟ้าสำรองจะลดลงสู่มาตรฐาน เร่งเดินหน้านโยบาย Net Billing กับพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นบนหลักการที่เสรี เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและครอบคลุมทั้งประเทศ เปิดรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง โปร่งใส ตรวจสอบได้ต่อร่างแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าและร่างแผนพลังงานอื่นที่จะมีขึ้น”

ข้อมูลเพิ่มเติม :
กัญจน์ ทัตติยกุล ผู้ประสานงานแนวร่วม Fossil Free Thailand
โทร +66816494224 อีเมล gunn@tuta.io

[i] https://www.businesswire.com/news/home/20250623972703/en/Glenfarne-and-PTT-Sign-Cooperation-Agreement-Including-Offtake-From-Alaska-LNG
[ii] https://www.gem.wiki/Alaska_LNG_Terminal
[iii] https://foe.org/wp-content/uploads/2025/05/FOE_FactSheet.pdf 
[iv] ภายหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสร้างแรงกดดันให้นานาประเทศซื้อก๊าซฟอสซิลเหลวจากโครงการอแลสกาแอลเอ็นจี หลายประเทศได้แสดงความลังเลเนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับตัวเลขต้นทุนการดำเนินงานของโครงการที่สูง ระยะเวลาดำเนินการต่อสร้างยาวนานและความไม่แน่นอนด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ประเทศในเอเชียหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ต่างถูกกดดันทางจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้เข้าร่วมโครงการลงทุนก่อสร้างและซื้อก๊าซฟอสซิลเหลวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการต่อรองด้านการค้าและนโยบายทางภาษีโดยประเทศเหล่านี้ต่างมีสัญญาซื้อขายก๊าซฟอสซิลเหลวระยะยาวอยู่และมีแนวโน้มความต้องการซื้อก๊าซฟอสซิลเหลวลดลง สำหรับกรณีของประเทศญี่ปุ่น มีองค์กรและกลุ่มทำงานกว่า 150 กลุ่มจากทั่วโลกได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์และให้เหตุผลว่าโครงการดังกล่าวสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นอย่างมาก https://foejapan.org/en/issue/20250529/24139/
[v] ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าในปี 2562 การเผาไหม้ก๊าซฟอสซิลปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 22 ของการปล่อยจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลก และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปงบคาร์บอน(carbon budget)ของโลกหรือปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ยังปล่อยสู่บรรยากาศโดยที่ไม่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มมากไปกว่า 1.5-2 องศาเซลเซียสจะหมดลงอย่างรวดเร็ว การวิเคราะห์ของ Bloomberg New Energy Finance ระบุว่า แม้จะแทนที่โรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดในโลกด้วยโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลภายในปี 2598 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายของความตกลงปารีส นักวิเคราะห์ด้านสภาพภูมิอากาศชี้ให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่อุปทาน (ตั้งแต่การขุดเจาะ การขนส่ง แปรสภาพ และการเผาไหม้)ของก๊าซฟอสซิลสร้างความเสียหายต่อสภาพภูมิอากาศมากกว่าที่เคยประเมินมาก่อน เช่น การรั่วไหลของก๊าซมีเทนตลอดห่วงโซ่อุปทานก๊าซฟอสซิลในสหรัฐอเมริกามีมากกว่าที่องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา(USEPA)ประเมินในปี 2553 ถึงร้อยละ 60 ก๊าซมีเทนมีศักยภาพก่อให้เกิดโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 86 เท่า และ 34 เท่า เมื่อพิจารณาตามกรอบเวลา 20 ปี และ 100 ปี ตามลำดับ
[vi] https://www.thairath.co.th/money/experts_pool/columnist/2861682
[vii] Thai C‑CAN (Thai Climate Change Action Network) เครือข่ายปฏิบัติการลดโลกร้อนโดยมีภารกิจสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมของบุคคล ภาคประชาสังคม ภาครัฐ และภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยมีความเป็นธรรมและยั่งยืนโดยมีเครือข่ายในประเทศไทย กัมพูชา ลาว