
เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์และคีร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ลงนามในข้อตกลงเพื่อเร่งขยายพลังงานนิวเคลียร์ในสหราชอาณาจักร ราคาหุ้นพลังงานนิวเคลียร์ก็พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่กระแสคึกคะนองนี้กลับเพิกเฉยต่อหลักฐานมากมายที่ชี้ชัดว่าพลังงานนิวเคลียร์เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในสหรัฐฯ เพียงสองหน่วยที่สร้างขึ้นในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา คือ Vogtle หน่วยที่ 3 และ 4 มีต้นทุนรวมกว่า 35,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้กลายเป็นไฟฟ้าที่แพงที่สุดในโลก ค่าใช้จ่ายบานปลายมหาศาลยังทำให้โครงการ NuScale ซึ่งเป็นความพยายามเดียวของสหรัฐฯ ในการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กเชิงพาณิชย์ ต้องล้มเหลวเช่นกัน
แม้เช่นนั้น ความคลั่งไคล้พลังงานนิวเคลียร์ก็ยังทวีความรุนแรงขึ้น ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งสูง การกำกับดูแลนิวเคลียร์ที่อ่อนแอลง การส่งเสริมพลังงานนิวเคลียร์อย่างไม่รอบคอบ และการโจมตีพลังงานหมุนเวียนโดยรัฐบาลกลาง ได้ก่อให้เกิด “พายุสมบูรณ์แบบ” ที่ผลักดันกระแสขยายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อดีตผู้กำกับดูแลเตือนว่าขณะนี้คณะกรรมาธิการกำกับพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ (NRC) ถูกบ่อนทำลาย และพายุดังกล่าวอาจพาเราไปสู่หายนะ
ความหลงตัวเองของวงการนิวเคลียร์ถึงขั้นที่ NASA ประกาศว่าจะติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์บนดวงจันทร์ภายในปี 2030 แต่ในเมื่อกลไกกำกับดูแลถูกยกเลิกไปแล้ว เราควรเป็นห่วงมากกว่ากับการป้องกันไม่ให้โลกกลายเป็น “ดวงจันทร์นิวเคลียร์” เสียเอง
สัญญาณอันตรายประการหนึ่งคือการฟื้น “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซอมบี้” — การนำเครื่องปฏิกรณ์เก่าที่เลิกใช้แล้วกลับมาเดินเครื่องใหม่ แม้บางแห่งเคยถูกปิดเพราะเหตุผลด้านความปลอดภัย เช่น โรงไฟฟ้า Palisades ในรัฐมิชิแกน Three Mile Island หน่วย 1 ในรัฐเพนซิลเวเนีย และ Duane Arnold ในรัฐไอโอวา
อีกสัญญาณคือ “เครื่องปฏิกรณ์รุ่นใหม่” หรือ Small Modular Reactors (SMRs) ซึ่งในความจริงแล้วไม่ได้ใหม่ ไม่ได้เล็กเสมอไป และอาจไม่ใช่ “โมดูลาร์” ด้วยซ้ำ เพราะมีมากถึง 127 แบบที่ยังอยู่ในขั้นแนวคิดและไม่เคยถูกสร้างจริง เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กเหล่านี้ไม่ใช่ “ปลอดภัยแม้ไม่มีคนเฝ้า” และไม่ปลอดคาร์บอน เนื่องจากผลิตไฟฟ้าได้น้อยจึงขาดประสิทธิภาพขนาด (economy of scale) ต้นทุนก่อสร้างก็ไม่ได้ต่ำกว่ามาก ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไป อีกทั้งยังสร้างของเสียมากกว่าถึง 30 เท่า ปล่อยนิวตรอนรั่วไหลมากกว่า และยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความร้อนสู่อากาศ การอุดหนุนพลังงานนิวเคลียร์เช่นนี้กลับทำลายพลังงานหมุนเวียนและทำให้วิกฤตภูมิอากาศเลวร้ายลง
บริษัท Holtec ซึ่งเป็นเอกชนที่ถูกตั้งคำถามทางจริยธรรมและมีชื่อจากการขาย (แต่ยังไม่สร้าง) เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก รวมถึงการฟื้นฟูโรงไฟฟ้า “ซอมบี้” ได้รับเลือกในข้อตกลงสหรัฐ–สหราชอาณาจักรให้พัฒนา “ศูนย์ข้อมูลพลังนิวเคลียร์” ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ บริษัทนี้มีชื่อเสียงจากการซื้อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เก่าของสหรัฐฯ ในราคาถูกโดยอ้างว่าจะรื้อถอน แต่กลับหันมารื้อฟื้นให้กลับมาเดินเครื่อง ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการดำเนินงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ NRC ก็ยังอนุมัติให้ผ่อนผันข้อบังคับและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ทำให้ Palisades สามารถเปลี่ยนสถานะจาก “อยู่ระหว่างรื้อถอน” มาเป็น “กลับมาเดินเครื่อง” ได้
Holtec ยังวางแผนจะติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กที่นั่น ใกล้กับกองกากกัมมันตรังสีจำนวนมาก และมีแผนคล้ายกันในพื้นที่โรงไฟฟ้าที่ปิดไปแล้วในรัฐนิวเจอร์ซีย์ แมสซาชูเซตส์ และนิวยอร์ก พร้อมเตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยมูลค่า IPO ราว 10,000 ล้านดอลลาร์
แล้วจะมีอะไรผิดพลาดได้อีกหรือ?
วิศวกรนิวเคลียร์คนหนึ่งเตือนคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของเครื่องปฏิกรณ์ของ NRC ว่า หาก Palisades กลับมาเดินเครื่องใหม่ มันอาจล้มเหลวภายในหกเดือน พร้อม “ผลกระทบที่ไม่อาจจินตนาการได้ต่อสาธารณะ” เนื่องจากปัญหาท่อกำเนิดไอน้ำและระบบหล่อเย็นหลักที่แตกร้าว
กลุ่มภาคประชาชนในรัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่ง Holtec ต้องการติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กที่โรงไฟฟ้า Pilgrim เดิม กำลังคัดค้านร่างกฎหมายพลังงานฉบับใหม่ที่ยกเลิกกฎหมายปี 1982 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีที่เก็บกากถาวรก่อนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ รวมทั้งต้องผ่านประชามติของประชาชนก่อน ซึ่งทั้งสองเงื่อนไขยังไม่เกิดขึ้น แต่ผู้ว่าการรัฐ Maura Healy (พรรคเดโมแครต) ก็ยังเดินหน้าผลักดันโครงการพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กและศูนย์ข้อมูล AI พลังนิวเคลียร์อยู่ดี
ที่โรงไฟฟ้า Indian Point ในนิวยอร์ก Holtec เสนอจะติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กและฟื้นเครื่องปฏิกรณ์เก่าที่ถูกรื้อบางส่วนแล้ว ทั้งที่เคยลงนามในข้อตกลงห้ามเสนอการฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่น มณฑล และรัฐ ซึ่งในขณะนี้ก็ยังไม่มี
เมื่อปีที่แล้ว Holtec ยังฟ้องร้องเพื่อระงับกฎหมายของรัฐที่ห้ามปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีลงแม่น้ำฮัดสัน หลังจากผู้ว่าการรัฐ Kathy Hochul (เดโมแครต) ลงนามรับรองกฎหมายนี้ ต่อมา กลุ่มล็อบบี้พลังงานนิวเคลียร์ก็ระดมกิจกรรมในออลบานี โดยถึงขั้นจ้างอดีตผู้ว่าการรัฐ Andrew Cuomo จนเกิดการร้องเรียนทางจริยธรรม หลังจากนั้น Hochul กลับลำ สั่งให้การไฟฟ้ารัฐนิวยอร์กสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่อย่างน้อย 1 กิกะวัตต์
การกลับลำผลักดันพลังงานนิวเคลียร์นี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเสื่อมถอยของระบบกำกับดูแลที่ไม่เคยเข้มแข็งมาก่อน อดีตประธานคณะกรรมาธิการ NRC สี่คน (สามคนในบทความนี้) ออกมาเตือนภัย ขณะเดียวกัน กรรมาธิการ NRC เองก็ให้การต่อรัฐสภาว่าพวกเขาอาจถูกปลดหากตั้งคำถามกับแบบเครื่องปฏิกรณ์ที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ยอมอนุมัติให้ผ่าน อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีพลังงาน Katy Huff และคณะ เขียนเตือนว่า การตัดสินใจด้านกำกับดูแลพลังงานนิวเคลียร์ “ด้วยเหตุผลทางการเมือง” คือ “เส้นทางที่เร็วที่สุดสู่เหตุอุบัติเหตุนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ … นี่ไม่ใช่เรื่องสมมุติหรือการพูดเกินจริง”
คำเตือนเหล่านี้น่าจะเข้าหูนักลงทุนพลังงานนิวเคลียร์พอดี Amory Lovins เขียนไว้ว่าศูนย์ข้อมูล AI พลังนิวเคลียร์ “อาจเป็นฟองสบู่มูลค่าล้านล้านดอลลาร์ แต่ยังขายได้จนกว่าความจริงทางตลาดจะตามทัน” เช่นเดียวกับความจริงที่โหดร้ายของความเสี่ยงและต้นทุนที่แท้จริงของพลังงานนิวเคลียร์ เราคงได้แต่หวังว่าภัยพิบัติกัมมันตรังสีจะไม่เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดจะรับรู้ว่าพลังงานนิวเคลียร์นั้นไม่คุ้มค่าจริง ๆ
เรียบเรียงจาก https://nuclearcosts.org/new-nuclear-push-brings-old-dangers-back-and-bigger-than-ever/?fbclid=IwdGRleANjNFRleHRuA2FlbQIxMQABHkogAssnghZPAsK2Kt3E-XoUU4JqFbY5hx_pX9WLHjmugVjqD26g2lf0cEsR_aem_8S7FpZjs4chN3b2VcDSt-A
