จากการติดตามและแลกเปลี่ยนกับผู้รู้** ผมตั้งข้อสังเกตว่า มลพิษข้ามพรมแดนในลุ่มน้ำกกในเขตรัฐฉานมาจากเหมืองแรร์เอิร์ทที่กำลังขยายตัว นอกเหนือจากเหมืองแร่ชนิดอื่นๆ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
จากการวิเคราะห์ภาพดาวเทียมเบื้องต้น แบบแผนการทำเหมืองแร่ในลุ่มน้ำกกเป็นการสะกัดแร่ด้วยวิธีชะละลาย ณ แหล่งแร่ (In situ leaching) แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในรัฐกะฉิ่นติดพรมแดนจีนซึ่งมีปรากฏการณ์บูมของเหมืองแรร์เอิร์ธ






การสะกัด Rare Earth ด้วยวิธีชะละลาย ณ แหล่งแร่ (In situ leaching) ได้รับความนิยมมากกว่าการทำเหมืองแบบเปิด เนื่องจากไม่ต้องใช้ต้นทุนเริ่มต้นจำนวนมาก วัสดุพื้นฐาน เช่น สารเคมีสำหรับชะละลาย ท่อ และถังเก็บ รวมถึงเทคโนโลยีอย่างเครื่องสูบน้ำ ล้วนไม่แพงหรือขนส่งยาก แตกต่างจากการทำเหมืองแบบเปิดที่ต้องมีการขุดเจาะขนาดใหญ่ (รวมถึงการใช้เครื่องจักรหนัก) การถางป่าและเคลียร์พื้นที่ขนาดใหญ่ และยังก่อให้เกิดกากแร่ปริมาณมากที่ต้องจัดการอย่างต่อเนื่อง แต่ In situ leaching นั้นมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของดินและน้ำใต้ดินจากสารชะละลาย การสูบน้ำและสารเคมีเข้าสู่ชั้นดินเหนียวเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม ทั้งการทำเหมืองแบบเปิดและ In situ leaching ต่างก็สามารถก่อให้เกิดน้ำเสียจำนวนมาก เนื่องจากต่างก็ต้องใช้น้ำในการสกัดแร่แรร์เอิร์ธจากชั้นดินเหนียว

ข้อมูลจาก Global Witness ซึ่งเปิดเผยก่อนหน้านี้ถึงความเฟื่องฟูของการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธหนัก (HREE) ในเขตปกครองพิเศษกะฉิ่นที่ 1 ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธที่ภักดีต่อกองทัพเมียนมา ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า จำนวนแหล่งเหมืองในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากกว่า 300 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่า 40% ระหว่างปี 2021 ถึง 2023 จนกระจายแน่นหนาไปทั่วภูมิประเทศรอบเมืองชายแดนปางวา


รายงานจาก Global Witness ระบุ พื้นที่เหมืองรุกล้ำเข้ามาใกล้เมืองชิปเว (ချီဖွေမြို့) ศูนย์กลางการปกครองของอำเภอชิบเวและเขตชิปเว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอ็นไมที่ไหลลงแม่น้ำอิระวดี (กองทัพเอกราชกะฉิ่น (KIA) ได้เข้ายึดเมืองชิปเวคืนได้ในช่วงเย็นของวันที่ 30 กันยายน 2024) ชาวบ้านเคยบรรยายว่าชิปเวเคยเป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยกล้วยไม้และสัตว์ป่า มีแปลงนาและไร่เผือกเล็กๆ ปลูกอยู่ริมลำธาร ตอนนี้น้ำกลายเป็นสีขุ่น และมีกลิ่นเหมือนโลหะ บ้านที่อยู่ใกล้ริมน้ำต้องย้ายออกไปเพราะทนกลิ่นสารเคมีไม่ไหว
การสะกัด Rare Earth ด้วยวิธีชะละลาย ณ แหล่งแร่ (In situ leaching) กรณีรัฐคะฉิ่น เมียนมา
แร่แรร์เอิร์ธแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ “แร่หนัก” และ “แร่เบา” โดยเมียนมาเป็นแหล่งสำคัญของแร่แรร์เอิร์ธประเภท “หนัก” โดยเฉพาะเทอร์เบียมและดิสโพรเซียม ซึ่งเมียนมาถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน แร่ธาตุเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่ใช้ในเทคโนโลยีหลากหลายประเภท เช่น สมาร์ตโฟน กังหันลม และรถยนต์ไฟฟ้า
แร่แรร์เอิร์ธสามารถสกัดจากพื้นดินได้หลายวิธี แต่วิธีที่พบมากที่สุดคือการทำเหมืองแบบเปิดหน้าดิน (open pit mining) และวิธี “การชะละลาย ณ แหล่งแร่” (in situ leaching)
การทำเหมืองแบบเปิดหน้าดิน จะเกี่ยวข้องกับการขุดหน้าดินออกแล้วขุดดินเหนียวที่มีแร่แรร์เอิร์ธ (หรือระเบิดหากแข็งเกินไป) จากนั้นนำดินเหนียวมาผสมกับสารเคมีและน้ำเพื่อชะล้างแร่แรร์เอิร์ธออกมา วิธีนี้ก่อให้เกิดของเสียจำนวนมากทั้งในรูปของของแข็ง (ดินเหนียวที่เหลือเรียกว่า tailings) และน้ำเสียที่มีสารเคมีตกค้างและสารปนเปื้อนอื่นๆ ลักษณะทางธรณีวิทยาของรัฐกะฉิ่นที่มีเนินเขาสูงชันเอื้อต่อการใช้ in situ leaching ซึ่งเป็นวิธีที่บริษัทเหมืองแร่ในพื้นที่นำมาใช้



วิธีนี้เริ่มจากการเจาะท่อผ่านชั้นหน้าดินลงไปยังชั้นดินเหนียวที่อยู่บนเนินเขาซึ่งมีแร่แรร์เอิร์ธอยู่ จากนั้นจะสูบสารละลายชะละลาย เช่น แอมโมเนียมคลอไรด์หรือแอมโมเนียมซัลเฟตผสมน้ำ ลงไปในดินเหนียว สารละลายนี้จะไหลลงตามแรงโน้มถ่วงและละลายแร่แรร์เอิร์ธออกมา ระหว่างกระบวนการจะมีการสูบน้ำจำนวนมากเข้าไปเพื่อดันสารละลายให้ไหลผ่านดินเหนียว จากนั้นน้ำที่ปนเปื้อนจะถูกรวบรวมไว้ในถังเก็บขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านล่างของเนินเขา
ในถังเก็บน้ำเหล่านี้จะมีการเติมสารเคมีเพื่อให้แร่แรร์เอิร์ธที่ละลายอยู่ตกตะกอนเป็นของแข็ง เมื่อเกิดตะกอนแล้ว น้ำส่วนใหญ่จะถูกระบายออก และตะกอนเปียกจะถูกตักออกมาเพื่อนำไปยัง “พื้นที่เผา” ซึ่งจะมีการเผาตะกอนในเตาขนาดใหญ่ โดยใช้เวลาสูงสุดถึง 48 ชั่วโมง โดยตะกอนเปียก 3–4 ถุงจะให้ฝุ่นแร่แห้งเพียง 1 ถุง หลังจากนั้นฝุ่นแร่จะแพ็คใส่ถุงเตรียมส่งออกไปยังประเทศจีนเพื่อเข้าสู่กระบวนการกลั่นแร่เพิ่มเติม
สภาพการทำงาน คนงานจะลากถุงกรดไปยังบ่อรวมน้ำชะละลายที่เหมือง กวนกรดลงในน้ำด้วยไม้ โดยมีเพียงเสื้อกันฝนและถุงมือเป็นอุปกรณ์ป้องกัน บางครั้งต้องใช้ถุงพลาสติกห่อมือแทนเพราะกรดรุนแรงเกินไป เหมือนกรดในแบตเตอรี่ เปรี้ยวจี๊ด แม้จะใส่หน้ากากอยู่ใกล้ๆ จะรู้สึกแสบคอและไอหนักมาก
คนงานทำงานกับกรดออกซาลิก — สารเคมีพิษที่ใช้ในการแปรสภาพแร่แรร์เอิร์ธหลังจากถูกชะละลายจากภูเขาแล้ว กระบวนการนี้เริ่มจากจุดสูงเหนือบ่อรวมน้ำ โดยมีการฉีดแอมโมเนียมซัลเฟตลงสู่พื้นดินผ่านเครือข่ายท่อ เมื่อสารละลายไหลลงมาตามแนวลาด มันจะละลายธาตุแรร์เอิร์ธออกมาด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม
ในประเทศจีน ซึ่งเป็นที่แรกที่พัฒนาวิธีนี้หรือที่รู้จักกันในชื่อ in-situ leaching ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับแหล่งน้ำและพื้นที่เพาะปลูกที่ปนเปื้อน รวมถึงการทำลายพืชพรรณอย่างกว้างขวาง ปัจจุบัน จีนยังคงอนุญาตให้ใช้วิธีนี้ได้ แต่มีข้อกำหนดเข้มงวด เช่น โควต้าการผลิต มาตรฐานทางเทคนิค และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่รวมถึงมาตรการป้องกันการรั่วไหลของกรด แต่ในเมียนมากลับไม่มีข้อบังคับในลักษณะนี้ปรากฏให้เห็น
ในทางตรงกันข้าม การสกัดแร่หายากชนิดหนัก (HREE) ถูกให้ความสำคัญสูงสุด เหมืองใหม่ๆ ผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการใช้สารเคมีจำนวนมากเพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากที่สุด ข้อมูลการค้าระบุว่า สารเคมีส่วนใหญ่เหล่านี้นำเข้าจากจีนเอง โดยในปี 2023 จีนส่งออกแอมโมเนียมซัลเฟตไปยังเมียนมามากถึง 1.5 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจาก 93,000 ตันในปี 2015) และกรดออกซาลิกอีก 174,000 ตัน (เพิ่มขึ้นจาก 342 ตันในปี 2015)
รายงานการสืบสวนเกี่ยวกับกระแสการเฟื่องฟูของการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธหนักในเมียนมา โดย Global Witness พบว่า
- ผลผลิตแร่แรร์เอิร์ธหนักของเมียนมาส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการผลิตแม่เหล็กถาวร ซึ่งเป็นที่ต้องการของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลมจากสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียหลากหลายราย
- ปริมาณการนำเข้าแร่แรร์เอิร์ธหนักจากเมียนมาไปยังจีนเพื่อแปรรูปขั้นสูงเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในช่วงเวลาเพียงสองปี จากระดับสูงสุดเดิมที่ 19,500 ตันในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 41,700 ตันในปี 2023 ในเขตปกครองพิเศษกะฉิ่นที่ 1 ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมา
- จำนวนพื้นที่เหมืองเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% แรงงานเหมืองและสมาชิกในชุมชนท้องถิ่นได้รายงานและบันทึกปัญหาสุขภาพจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่ใช้ในการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ
- ข้อมูลจากการเก็บตัวอย่างน้ำระบุว่า ลำธารในเขตปกครองพิเศษกะฉิ่นที่ 1 ซึ่งมีการทำเหมืองนั้น มีค่าความเป็นกรดสูงและมีสารหนูในระดับที่เกินมาตรฐาน มลพิษกำลังคุกคามทำลายภูมิภาคที่ถือเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลก
- การค้าขายแร่แรร์เอิร์ธหนักที่ทำกำไรสูงของเมียนมามีมูลค่าถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และเสี่ยงที่จะกลายเป็นแหล่งเงินทุนให้กับความขัดแย้งและการทำลายในภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูง นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การสกัดแร่ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้การปกครองแบบเผด็จการและสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศที่รุนแรงขึ้น
คำถามปิดท้าย
แม้จะเป็นเรื่องยาก ละเอียดอ่อนและสลับซับซ้อนสำหรับรัฐบาลไทยต่อกรณีมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแรร์เอิร์ธ แต่นี่คือคำถามสำคัญ
- รัฐบาลไทยจะแสดงบทบาทอย่างไรทั้งต่อรัฐบาลเมียนมา รัฐบาลจีนและกลุ่มกองกำลังว้าเพื่อยุติการดำเนินการทำเหมือง โดยตระหนักว่านี่เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงและละเมิดมาตรฐานสากล ทุกแห่งดำเนินการโดยไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน และส่วนใหญ่ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง
- รัฐบาลไทยจะจัดการกับบริษัทที่มีแร่แรร์เอิร์ธหนักในห่วงโซ่อุปทานที่มาจากเหมืองในลุ่มน้ำกก/น้ำสายอย่างไร แนวทางหนึ่งคือการนำกรอบ OECD ว่าด้วยการตรวจสอบสถานะอย่างรอบด้านของห่วงโซ่อุปทานแร่จากพื้นที่ขัดแย้งและความเสี่ยงสูง (OECD Due Diligence Guidance) รวมถึงแนวปฏิบัติของ OECD สำหรับบรรษัทข้ามชาติว่าด้วยความรับผิดชอบทางธุรกิจและหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมาใช้และบังคับใช้จริง
กรอบ 5 ขั้นตอนของ OECD เมื่อจัดหาผลิตภัณฑ์หรือแร่แรร์เอิร์ธหนัก:
1) ทำแผนที่ห่วงโซ่อุปทานแร่แรร์เอิร์ธ ระบุผู้แปรรูปทั้งหมด และติดตามย้อนกลับไปยังเหมือง
ระบุความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน เงินทุนสนับสนุนความขัดแย้ง สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทาน
2) มีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำแผนที่ห่วงโซ่อุปทานและการจัดการความเสี่ยง
3) พัฒนาและดำเนินแผนจัดการความเสี่ยง
4) รายงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานะห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการวิเคราะห์ ความเสี่ยงที่พบ และมาตรการป้องกัน/บรรเทา/เยียวยา อย่างน้อยปีละครั้ง หากพบว่ามีความเสี่ยงอย่างมีเหตุผลต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงหรือเงินทุนสนับสนุนความขัดแย้ง บริษัทควรระงับหรือยุติความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์นั้น
จากวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนที่ชาวเชียงรายต้องเผชิญ ในบริบทปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดหาแร่แรร์เอิร์ธหนักจากเมียนมาอย่างมีความรับผิดชอบ ดังนั้น หนทางเดียวยุติการดำเนินการทำเหมือง
ที่มา :
https://globalwitness.org/en/campaigns/transition-minerals/fuelling-the-future-poisoning-the-present-myanmars-rare-earth-boom/
https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_2_the_rare_earth_mining_process_in_myanmar.pdf
** ขอขอบคุณ ดร.สืบสกุล กิจนุกร-มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และคุณภาสกร จำลองราช-สำนักข่าวชายขอบ สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล
