เรียบเรียงจาก https://thebulletin.org/2025/06/the-radiation-risks-of-irans-nuclear-program-with-or-without-a-strike-on-fordow/ เขียนโดย François Diaz-Maurin | June 20, 2025
หมายเหตุบรรณาธิการ: เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าสหรัฐอเมริกาได้โจมตีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านรวมถึงที่ฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิสฟาฮาน บทความนี้จะมีการอัปเดตเพิ่มเติมเมื่อมีรายละเอียดเพิ่มเติม

(Map: Thomas Gaulkin / Datawrapper. Image: Google Earth)
นับตั้งแต่การโจมตีโดยไม่ให้สัญญาณล่วงหน้าเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน อิสราเอลดำเนินการโจมตีทางอากาศหลายระลอกต่อสถานที่นิวเคลียร์ทั่วอิหร่าน การโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญกับเครื่องปฏิกรณ์วิจัย โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียม และศูนย์นิวเคลียร์อื่นๆ ซึ่งความเสียหายสามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียมพร้อมกับความกังวลถึงการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีหรือสารเคมี
ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่องค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) กล่าวต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันศุกร์ว่า “ไม่มีการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน” อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าการโจมตีของอิสราเอลต่อศูนย์นิวเคลียร์ของอิหร่าน “ได้ทำลายความปลอดภัยและความมั่นคงด้านนิวเคลียร์ลงอย่างมาก” โดยตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน ศูนย์นิวเคลียร์หลักของอิหร่านหลายแห่งได้รับความเสียหาย รวมถึงโรงงานเสริมสมรรถนะสองแห่งที่นาทานซ์ อาคารสี่หลังในอิสฟาฮาน และเครื่องปฏิกรณ์วิจัยที่คอนดาบ แม้ไม่มีการวัดพบระดับกัมมันตภาพรังสีที่สูงขึ้นภายนอกสถานที่ แต่ภายในโรงงานโดยเฉพาะโรงงานใต้ดินที่นาทานซ์อาจมีการกระจายของสารเคมีเป็นพิษหรือสารปนเปื้อนรังสี
ตามข้อมูลของ IAEA ปริมาณยูเรเนียมเสริมสมรรถนะทั้งหมดของอิหร่าน ณ วันที่ 17 พฤษภาคม อยู่ที่ประมาณ 9,250 กิโลกรัม ประกอบด้วยก๊าซยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์ 8,400 กิโลกรัม ยูเรเนียมออกไซด์ 620 กิโลกรัม ยูเรเนียมในรูปแบบโลหะอีก 71 กิโลกรัมในชุดเชื้อเพลิง แผ่น และแท่งเชื้อเพลิงยูเรเนียมในเป้าหมายทดลอง 4 กิโลกรัม และยูเรเนียมในของเสียทั้งของเหลวและของแข็งประมาณ 140 กิโลกรัม
IAEA ยังระบุว่า ยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์มากกว่า 400 กิโลกรัมถูกเสริมสมรรถนะไปถึงระดับ 60% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงมาก แม้จะยังไม่ถึงระดับสำหรับอาวุธนิวเคลียร์ก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ เอียน สจ๊วต อธิบายว่า ยูเรเนียมระดับนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของนานาชาติ และมีปริมาณมากพอสำหรับผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ประมาณ 10 ลูก
ที่ตั้งของยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงเหล่านี้ยังไม่ชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้ว่ายูเรเนียมดังกล่าวได้ถูกย้ายไปยังสถานที่ลับภายใต้การควบคุมของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อาวุโสของ IRGC รายหนึ่งอ้างว่าทางการได้เคลื่อนย้ายยูเรเนียมทั้งหมดไปยังสถานที่ลับเพื่อป้องกันไว้ล่วงหน้า และอาจมีการติดตั้งเครื่องหมุนเหวี่ยงเพิ่มเติมในสถานที่เหล่านั้น เพื่อเสริมสมรรถนะยูเรเนียมจากระดับ 60% ไปถึง 90% ซึ่งเป็นระดับที่ใช้ในอาวุธนิวเคลียร์ และอาจกำลังเดินเครื่องอยู่แล้วในบางแห่ง
ยูเรเนียมที่ขุดได้ตามธรรมชาติมีปริมาณยูเรเนียม-235 ซึ่งสามารถใช้ในปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ได้น้อยกว่า 1% การเพิ่มระดับความเข้มข้นจากยูเรเนียม-235 น้อยกว่า 1% ไปถึง 60% ใช้เวลานานกว่าการเพิ่มจาก 60% ไปถึง 90% ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าหากเริ่มเสริมสมรรถนะจากระดับ 60% อาจใช้เวลาเพียง 5–6 วันก็สามารถผลิตยูเรเนียมที่เพียงพอสำหรับอาวุธนิวเคลียร์หนึ่งลูกได้
แม้ความเสี่ยงที่อิหร่านจะนำยูเรเนียมนี้ไปผลิตอาวุธจะเป็นประเด็นเร่งด่วนที่น่ากังวลอย่างยิ่ง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงนี้ ไม่ว่าจะถูกโจมตีหรือไม่ วัสดุเหล่านี้ก็ยังเป็นอันตรายต่อการปนเปื้อนหรือการสัมผัสรังสี
หากยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์จำนวนมากถูกเก็บไว้ในถังในพื้นที่จำกัด ก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงทางเคมีอย่างมีนัยสำคัญหากเกิดการโจมตี และหากไม่มีข้อมูลว่าในถังมีปริมาณเท่าใดหรือเก็บในสภาพเช่นไร ความเสี่ยงนี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรง
การเคลื่อนย้ายอย่างเร่งรีบหรือเก็บรักษาภายใต้สภาพที่ไม่เหมาะสมก็เพิ่มโอกาสของการสัมผัสสารพิษอย่างมาก ยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์แม้จะไม่สามารถทำให้เกิดการวิกฤตนิวเคลียร์โดยตรง แต่หากมีความชื้นเล็ดลอดเข้าไปในถังระหว่างการขนส่งหรือเก็บรักษายูเรเนียมโดยเฉพาะยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง จะมีปฏิกิริยามากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ได้ และเกิดการระเบิดของถังเคมี ทำให้ก๊าซยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์กระจายออกไปในโรงงานหรือแม้แต่ในสิ่งแวดล้อมได้ แม้ไม่มีการโจมตีก็ตาม

ศูนย์นิวเคลียร์ที่กำลังปฏิบัติการหรือมีแนวโน้มว่ายังปฏิบัติการอยู่ในอิหร่าน ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2025 — จุดสีแดงแสดงสถานที่นิวเคลียร์หลัก ตำแหน่งเป็นเพียงค่าประมาณ แผนที่โดย: Thomas Gaulkin / Datawrapper แหล่งข้อมูล: Nuclear Threat Initiative
เพื่อให้เข้าใจความเสี่ยงจากการปนเปื้อนรังสีที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้เขียนพยายามแยกแยะประเภทและขนาดของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง โดยอิงจากข้อมูลสาธารณะที่มีอยู่เกี่ยวกับศูนย์นิวเคลียร์ของอิหร่านก่อนที่อิสราเอลจะเริ่มโจมตี อย่างไรก็ตาม หากต้องการการประเมินที่แม่นยำกว่านี้ เราจำเป็นต้องมีข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพ ปริมาณ และสภาพการจัดเก็บของวัสดุนิวเคลียร์ในแต่ละสถานที่ ซึ่งในขณะนี้เรายังไม่มี
ต่อไปนี้คือภาพรวมของสิ่งที่อาจผิดพลาดหรือเกิดขึ้นได้ในศูนย์นิวเคลียร์ที่กำลังปฏิบัติงาน หรือมีแนวโน้มว่ายังเปิดดำเนินการอยู่ ณ วันที่ 12 มิถุนายน ก่อนการโจมตีของอิสราเอล
นาทานซ์ (ความเสี่ยงทางรังสีต่ำมาก; ส่วนใหญ่เป็นพิษทางเคมี)

Natanz Enrichment Complex (Map: Thomas Gaulkin / Datawrapper. Image: Google Earth)
นาทานซ์ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงเตหะรานไปทางใต้ราว 300 กิโลเมตร ในจังหวัดอิสฟาฮาน เป็นศูนย์เสริมสมรรถนะยูเรเนียมหลักของอิหร่าน ที่นี่มีทั้งโรงงานเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิงใต้ดิน (FEP) สำหรับเครื่องปฏิกรณ์พลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์ และโรงงานต้นแบบที่อยู่เหนือพื้นดิน (PFEP) ซึ่งมีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่า วัสดุนิวเคลียร์และอุปกรณ์เสริมสมรรถนะในทั้งสองโรงงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)
ศูนย์แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจระดับโลกในปี 2002 หลังจากผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวอิหร่านเปิดเผยว่า อิหร่านได้เคลื่อนย้ายเครื่องหมุนเหวี่ยงและอุปกรณ์ต่าง ๆ มายังนาทานซ์อย่างลับ ๆ ทำให้เกิดความวิตกในระดับนานาชาติเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สถานที่นี้อาจถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร ศูนย์แห่งนี้เคยตกเป็นเป้าโจมตีทางไซเบอร์และการวางระเบิดหลายครั้งในอดีตซึ่งอิหร่านกล่าวหาอิสราเอลว่าอยู่เบื้องหลัง
ในการโจมตีของอิสราเอลเมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 13 มิถุนายน นาทานซ์ถูกโจมตีจนทำให้สถานีย่อยไฟฟ้าที่อยู่เหนือพื้นดินและสถานที่เก็บก๊าซยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์ได้รับความเสียหาย ราฟาเอล กรอสซี ระบุภายหลังว่า ไอโซโทปของยูเรเนียมที่อยู่ในก๊าซยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์อาจกระจายตัวภายในคลังเก็บซึ่งรังสีจากไอโซโทปเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นอนุภาคแอลฟา อาจเป็นอันตรายอย่างมากหากสูดดมหรือกลืนเข้าไป อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้สามารถควบคุมได้หากมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
ความเสี่ยงหลักภายในคลังเก็บคือพิษทางเคมีของก๊าซยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์และสารประกอบฟลูออไรด์ที่เกิดจากปฏิกิริยากับน้ำ ส่วนความเสี่ยงทางรังสีจากยูเรเนียมเสริมสมรรถนะที่นาทานซ์นั้นน่าจะน้อยกว่าความเป็นพิษทางเคมีของฟลูออรีนมาก
กรอสซียังกล่าวด้วยว่า เครื่องหมุนเหวี่ยงประมาณ 15,000 เครื่องที่ทำงานอยู่ใต้ดินที่นาทานซ์ “ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงหากไม่ถูกทำลายทั้งหมด” ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการตัดไฟที่เกิดจากการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานีไฟฟ้าด้านบน โรงงาน FEP แห่งนี้เป็นอาคารใต้ดินขนาดใหญ่ 3 ชั้น มีโครงสร้างคอนกรีตหนา 2.5 เมตรป้องกันอยู่ เชื่อกันว่าตัวอาคารไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตี อย่างไรก็ตาม สถานะการทำงานของโรงงานใต้ดินหลังการโจมตียังไม่ชัดเจนในขณะนี้
ฟอร์โดว์ (ความเสี่ยงทางรังสีต่ำมาก; ส่วนใหญ่เป็นพิษทางเคมี)

Fordow Fuel Enrichment Plant (Map: Thomas Gaulkin / Datawrapper. Image: Google Earth)
Fordow เป็นโรงงานต้นแบบแห่งที่สองของอิหร่านสำหรับการเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิง (FFEP) ตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดินราว 80 ถึง 90 เมตร ภายในภูเขาใกล้เมืองกอม ทางตอนเหนือของอิหร่าน ตามข้อมูลของ IAEA สถานที่แห่งนี้มีเครื่องหมุนเหวี่ยง IR-1 จำนวน 1,044 เครื่อง และ IR-6 ซึ่งเป็นรุ่นที่ล้ำหน้าที่สุดของอิหร่านอีก 1,740 เครื่อง โดยรวมแล้ว Fordow สามารถผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงระดับ 60% ได้ราว 30 ถึง 35 กิโลกรัมต่อเดือน โรงงานนี้ยังสามารถเปลี่ยนเป้าหมายไปผลิตยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์ที่เสริมสมรรถนะถึง 90% ได้ถึง 25 กิโลกรัมซึ่งเพียงพอสำหรับการผลิตอาวุธนิวเคลียร์หนึ่งลูกภายในเวลาเพียง 3 วัน ตามที่สจ๊วตระบุ
ณ วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน โรงงานแห่งนี้ยังไม่ได้ตกเป็นเป้าการโจมตีทางอากาศหรือปฏิบัติการลอบทำลาย ขีปนาวุธทั่วไปที่อิสราเอลใช้นั้นไม่สามารถทำลายโรงงานนี้ได้ อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลมีรายงานว่าได้จัดเตรียมแผนการโจมตีไว้แล้ว และอาจดำเนินการโจมตีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แม้ว่าจะมีข้อสงสัยว่าการทำลายโรงงานแห่งนี้จะสามารถทำได้จริงในทางเทคนิคหรือจำเป็นต่อการสกัดกั้นโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านหรือไม่
หนึ่งในทางเลือกในการทำลาย Fordow ถึงขั้นพิจารณาการใช้ อาวุธนิวเคลียร์พลังต่ำ ซึ่งสามารถสร้างแรงระเบิดมากพอที่จะทำลายโรงงานนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การใช้อาวุธเช่นนี้จะนำไปสู่ความเสี่ยงด้านการยกระดับความขัดแย้งอย่างรุนแรงและเป็นการฝ่าฝืนบรรทัดฐานระหว่างประเทศ และหากเกิดการระเบิดจากอาวุธนิวเคลียร์จริง ก็จะเกิดความเสี่ยงจากกัมมันตรังสีที่กระจายจากการระเบิดมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการรั่วไหลของยูเรเนียมภายในโรงงาน Fordow เสียอีก
อิสฟาฮาน

Isfahan Nuclear Technology Center (Map: Thomas Gaulkin / Datawrapper. Image: Google Earth)
อิสฟาฮานเป็นที่ตั้งของศูนย์เทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ใกล้เมืองอิสฟาฮาน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอิหร่าน และถือเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่สุดของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน สถานที่แห่งนี้มีเครื่องปฏิกรณ์วิจัยขนาดเล็ก 3 เครื่อง และมีแผนจะสร้างเครื่องที่ 4 เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังประกอบด้วยห้องปฏิบัติการเคมีส่วนกลาง โรงงานแปรรูปยูเรเนียมที่ใช้แปรรูปยูเรเนียมให้เป็นก๊าซยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์เพื่อใช้ในเครื่องหมุนเหวี่ยงสำหรับเสริมสมรรถนะ โรงงานผลิตเชื้อเพลิงเครื่องปฏิกรณ์ และสถานที่เก็บกากกัมมันตรังสี
ภายในศูนย์ยังมีโรงงานแปรรูปก๊าซยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์ให้เป็นไตรยูเรเนียมออกไซด์(หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เยลโลว์เค้ก”) และผลิตแผ่นเชื้อเพลิงสำหรับใช้ในการทดลองของเครื่องปฏิกรณ์วิจัยกรุงเตหะราน (Tehran Research Reactor)
ในปี 2021 องค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) พบอุปกรณ์ในโรงงานแปรรูปยูเรเนียมที่สามารถใช้ผลิตโลหะยูเรเนียมซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในการผลิตแกนกลางของอาวุธนิวเคลียร์แบบระเบิดภายใน (implosion-type nuclear weapon) นอกจากนี้ยังพบว่าอิหร่านได้ผลิตโลหะยูเรเนียมจากโรงงาน “เยลโลว์เค้ก” โดยใช้ยูเรเนียมธรรมชาติซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงแผนปฏิบัติการร่วมแบบครอบคลุม (JCPOA)
แม้ว่าโลหะยูเรเนียมจะมีอันตรายทางเคมีน้อยกว่าก๊าซยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากรังสีอย่างมีนัยสำคัญ หากมีการรวมมวลของยูเรเนียม 235 บริสุทธิ์ประมาณ 53 กิโลกรัม (หรือมากกว่านั้นเล็กน้อยในกรณีเป็นยูเรเนียมโลหะเกรดอาวุธระดับ 90%) ก็สามารถทำให้เกิด “วิกฤตนิวเคลียร์” (criticality) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ที่ปล่อยรังสีไอออไนซ์ในระดับอันตรายถึงชีวิตได้ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ในโรงงานแปรรูปโลหะยูเรเนียมหากไม่มีการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม (IAEA เคยรายงานว่ายูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงส่วนใหญ่ของอิหร่านได้ถูกย้ายไปยังสถานที่ที่สามารถผลิตโลหะยูเรเนียมได้แล้ว)
ในวันแรกของการโจมตี มีรายงานว่าอิสราเอลได้โจมตีอาคาร 4 หลังในอิสฟาฮาน รวมถึงโรงงานแปรรูปยูเรเนียม ห้องปฏิบัติการเคมีส่วนกลาง และโรงงานผลิตเชื้อเพลิงเครื่องปฏิกรณ์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการวัดพบระดับรังสีที่เพิ่มขึ้นภายนอกสถานที่ และสถานะการทำงานของศูนย์นี้ยังไม่ทราบแน่ชัด
ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์เตหะราน

Tehran Nuclear Research Center (Map: Thomas Gaulkin / Datawrapper. Image: Google Earth)
ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์เตหะรานประกอบด้วยเครื่องปฏิกรณ์วิจัยและสถานที่ผลิตไอโซโทปกัมมันตรังสีทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน องค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) รายงานว่า อาคารแห่งหนึ่งในศูนย์วิจัยถูกโจมตี ซึ่งอาคารดังกล่าวใช้สำหรับการผลิตและทดสอบโรเตอร์ของเครื่องหมุนเหวี่ยงขั้นสูง
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมหลังการโจมตี และไม่คาดว่าจะเกิดผลกระทบทางรังสีจากการโจมตีครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอาคารที่ถูกโจมตีอยู่ห่างจากเครื่องปฏิกรณ์วิจัยเท่าใด โดยเชื่อว่าเครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวยังคงปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้ หากเครื่องปฏิกรณ์วิจัยที่อยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายจากการโจมตี ผลกระทบทางรังสีจะรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บุเชห์ (Bushehr)

Bushehr Nuclear Power Plant (Map: Thomas Gaulkin / Datawrapper. Image: Google Earth)
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บุเชห์ (Bushehr) ซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งอ่าวเปอร์เซีย เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชิงพาณิชย์แห่งแรกของอิหร่าน โรงไฟฟ้าแห่งนี้เป็นเครื่องปฏิกรณ์น้ำเบาขนาด 1,000 เมกะวัตต์ ออกแบบโดยรัสเซีย (VVER) ใช้เชื้อเพลิงที่จัดหาจากรัสเซีย และหลังใช้งานแล้วจะส่งกลับไปกำจัดในรัสเซีย โดยมีพนักงานชาวรัสเซียทำงานประจำอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ปัจจุบันมีการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์ใหม่อีกสองเครื่องในสถานที่เดียวกันซึ่งเป็นแบบรัสเซีย
บุเชห์ถือเป็นสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านที่หากถูกโจมตีอาจส่งผลร้ายแรงที่สุด เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่กำลังเดินเครื่อง จึงมีวัสดุนิวเคลียร์หลายพันกิโลกรัมอยู่ในพื้นที่
ราฟาเอล กรอสซี เตือนว่า หากโรงปฏิกรณ์หรือสระเก็บเชื้อเพลิงที่บุเชห์ถูกโจมตี “อาจเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีในระดับสูงมากสู่สิ่งแวดล้อม” นอกจากนี้ การปล่อยรังสีในระดับรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้ถูกโจมตีโดยตรง หากเกิดเหตุไฟฟ้าดับในพื้นที่โรงงาน ทำให้ระบบหล่อเย็นหยุดทำงาน ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุที่เครื่องปฏิกรณ์หรือไฟไหม้ในสระเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้วที่มีความหนาแน่นสูง
ศูนย์นิวเคลียร์อื่น ๆ
อิหร่านยังมีศูนย์นิวเคลียร์อื่น ๆ ที่แม้จะไม่สำคัญต่อโครงการอาวุธนิวเคลียร์โดยตรง แต่ก็มีความเสี่ยงด้านรังสีอย่างมาก ความเสี่ยงสูงสุดอาจมาจากการโจมตีเครื่องปฏิกรณ์ที่กำลังเดินเครื่อง หรือศูนย์เก็บกากนิวเคลียร์ เช่น ศูนย์กำจัดของเสียที่เมืองกอม ทางตอนใต้ของเตหะราน
การโจมตีสายไฟโครงข่ายไฟฟ้า หรือโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการจ่ายไฟให้กับระบบหล่อเย็นของเครื่องปฏิกรณ์หรือบ่อน้ำเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้วอาจนำไปสู่การปนเปื้อนรังสีอย่างรุนแรงคล้ายกับเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิลหรือฟุกุชิมะในอดีต
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน เครื่องปฏิกรณ์วิจัยน้ำมวลหนัก (heavy-water reactor) ที่คอนดาบ (Khondab) ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในเมืองอารักถูกโจมตีด้วยอากาศยานโจมตี ภาพถ่ายดาวเทียมหลังการโจมตีเผยให้เห็นรูโหว่บนหลังคาทรงโดมของอาคารเครื่องปฏิกรณ์
Sources: IAEA, Iran Watch, ISIS, NTI, WNA, WNISR. Tatsujiro Suzuki, Scott Kemp, and Zia Mian provided background information.
