โลกต้องให้ความสําคัญกับขั้วโลกใต้มากขึ้น

เรียบเรียงจาก : Antarctica, Earth’s largest refrigerator, is defrosting https://www.economist.com/interactive/science-and-technology/2024/03/27/antarctica-earths-largest-refrigerator-is-defrosting from The Economist

พายุเฮอริเคนที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยถล่มอเมริกาได้สร้างความเสียหายต่อเมืองกัลเวสตัน รัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นเกาะกั้นในอ่าวเม็กซิโก เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2443 ชาวเมืองที่หวาดกลัวเฝ้าดูกําแพงน้ําสูง 4.5 เมตร เข้าใกล้ชายฝั่งและทะลายบ้านของพวกเขาพังราบคาบ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 8,000 คน ผลที่ตามมา กําแพงทะเลคอนกรีตขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกันคลื่นพายุในอนาคต วิศวกรคิดว่าการสร้างกำแพงให้สูง 5 เมตรก็เพียงพอแล้ว

และนั่นเป็นเวลา 120 ปีมาแล้ว แต่ถึงแม้ในขณะที่มีการสร้างกําแพงขึ้น วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ก็ชัดเจนขึ้น สะสมความร้อนและพลังงานใหม่เข้าสู่ระบบสภาพภูมิอากาศโลกซึ่งจะผลักดันให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นตามแนวชายฝั่งทั่วโลก วันนี้ หน่วยวิศวกรของกองทัพสหรัฐฯ มีแผนการมูลค่า 57 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างกําแพงกั้นใหม่ขนานนามว่า “Ike Dike” เพื่อปกป้องกัลเวสตัน รวมถึงภูมิภาคฮูสตันและโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเกาะจากคลื่นพายุที่ใหญ่และทรงพลังยิ่งขึ้น อาจเป็นโครงการวิศวกรรมโยธาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา คำถามคือ มวลน้ำที่ทำให้มีการออกแบบกำแพงทะเลนี้มาจากไหน? คำตอบคือมวลน้ำส่วนใหญ่จะมาจากทวีปทางใต้สุดของโลกที่อยู่ห่างออกไปมากกว่า 10,000 กม. ซึ่งเป็นที่ตั้งของมวลน้ําแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก : แอนตาร์กติกา

เมื่อพูดถึงผลกระทบของสภาพภูมิอากาศขั้วโลก ส่วนใหญ่เราจะสนใจภูมิภาคอาร์กติกเป็นเวลาหลายปีที่นักวิทยาศาสตร์เตือนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อุปมาดัง “คีรีบูนในเหมืองถ่านหิน” พืดน้ําแข็งในฤดูร้อนที่คงปกคลุมมหาสมุทรเหนือสุดมานับพันปีได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งไซบีเรีย ดินแดนแห่งดินที่เยือกแข็งถาวรเกิดไฟไหม้ในปี 2562 กลายเป็นที่สนใจต่อผู้คนทั้งหหลายที่อยู่นอกชุมชนวิทยาศาสตร์สภาพภูมิอากาศ(ซึ่งตื่นตระหนก) และอุตสาหกรรมการเดินเรือ(ซึ่งมีความยินดี)

ในทางตรงกันข้าม ขั้วโลกใต้ถูกละเลยในการเล่าเรื่องสภาพภูมิอากาศ ส่วนหนึ่งเกิดจากความห่างไกลและส่วนหนึ่งมาจากการคํานวณผิดทางวิทยาศาสตร์ในยุคแรกๆ ในขณะที่อาร์กติกกําลังละลายอย่างรวดเร็ว แอนตาร์กติกาดูค่อนข้างคงที่ ไม่เพียงแค่นั้น แบบจําลองสภาพภูมิอากาศยังแนะนําว่าจะเห็นหิมะตกมากขึ้นในโลกที่ร้อนขึ้น ทําให้พืดน้ําแข็งแอนตาร์กติกขยายเพิ่ม ไม่หดตัว

ปรากฎว่าแบบจำลองสภาพภูมิอากาศเดิมนั้นผิด การก่อเกิดเหตุการณ์อันน่าตะลึงและความสุดขั้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าแอนตาร์กติกากําลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนพื้นทวีป ในทะเล และในชั้นบรรยากาศด้านบน ด้วยเหตุนี้ ภาพใหม่ของทวีปแอนตาร์กติกกำลังผุดบังเกิดขึ้น จนถึงขณะนี้ได้รับความสนใจเพียงเล็กน้อย นักวิทยาศาสตร์ด้านขั้วโลกกําลังเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบ

ดินแดนที่ไม่รู้จัก

สิ่งนี้สําคัญ: แม้จะเห็นเป็นเช่นนั้น แต่แอนตาร์กติกาไม่ได้แยกตัวออกจากส่วนอื่นๆ ของโลก เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ทวีปแห่งนี้ทําหน้าที่เหมือนตู้เย็นขนาดใหญ่ของโลก แอนตาร์กติกตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยฝูงแพลงตอนที่เรียกว่า krill และปลา และเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ พืดน้ําแข็งแห่งแอนตาร์กติกกักเก็บมวลน้ําจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แยกออกจากผืนทะเล เมื่อพืดน้ําแข็งนั้นลดลงละลายเป็นของเหลว มวลน้ําจะทําให้ระดับน้ําทะเลในซีกโลกเหนือสูงขึ้นอย่างมากในพื้นที่ที่มนุษย์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่

เมื่อฉันเริ่มทํางานด้านธารน้ําแข็งแอนตาร์กติกครั้งแรก [30 ปีที่แล้ว] มันเกี่ยวกับการผจญภัยและการค้นพบ” มาร์ติน ซีเวิร์ต ผู้อํานวยการสถาบันแกรนแธมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ Imperial College London กล่าว “มันยังคงเป็นเรื่องเหล่านั้น แต่มันร้ายแรงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

เสียงเตือนดังขึ้นและชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เริ่มต้นจากฤดูร้อนที่ติดต่อกันสองฤดูที่ขอบเขตของทะเลน้ําแข็งรอบผืนทวีปมีสถิติต่ำสุดเท่าที่เคยเป็นมา—ต่ำกว่าในปี 2565 ถึง 10% ซึ่งเป็นตัวกําหนดสถิติ จากนั้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไปและในขณะที่ผืนทวีปนี้เข้าสู่ฤดูหนาว นักวิจัยเฝ้าดูด้วยความตื่นตระหนกที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ขอบเขตทะเลน้ําแข็งพยายามดิ้นรนฟื้นตัว ภายในเดือนกรกฎาคม ขอบเขตของน้ําแข็งในทะเลมีขนาดเล็กกว่าค่าเฉลี่ยล่าสุด 2.5 ม. (ดูแผนภูมิ 1) เอลล่า กิลเบิร์ตและแคโรไลน์ โฮล์มส์ นักวิจัยจากการสํารวจแอนตาร์กติกของอังกฤษ สงสัยว่า: “หากแอนตาร์กติกาไม่มีทะเลน้ำแข็ง(รายรอบทวีป)ที่ใหญ่กว่ากรีนแลนด์ จะเกิดอะไรขึ้น”

บนพืดน้ำแข็งที่บางลง

สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวในสถานะของน้ําแข็งแอนตาร์กติก ในการวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Climate เมื่อต้นเดือนนี้ Will Hobbs จากมหาวิทยาลัยแทสเมเนียในออสเตรเลีย และเพื่อนร่วมงานได้ดูบันทึกดาวเทียม 44 ปี และพบหลักฐานของการเปลี่ยนแปลงระบบในรูปแบบที่เพิ่มขึ้นและลดลงตามฤดูกาลของทะเลน้ําแข็ง เริ่มเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ทะเลน้ําแข็งก็มีลักษณะการกวัดแกว่งและความแปรปรวนที่มากขึ้น ในการวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง Ariaan Purich ที่มหาวิทยาลัย Monash ในออสเตรเลียและ Edward Doddridge ผู้เขียนร่วมของ Dr Hobbs ที่มหาวิทยาลัยแทสเมเนีย แสดงให้เห็นว่าโดยเฉลี่ยแล้วขอบเขตของทะเลน้ําแข็งรอบทวีปแอนตาร์กติกเพิ่มขึ้นชั่วครู่ประมาณปี 2550 ก่อนที่จะเข้าสู่ “สถานะขอบเขตต่ำสุดใหม่” อย่างกะทันหันในปี 2559 ข้อมูลว่าด้วยมหาสมุทรใต้ชี้ให้เห็นว่าน้ําที่อุ่นขึ้นเนื่องจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจมีส่วนสำคัญ สองปีสุดท้ายที่มีขอบเขตทะเลน้ำแข็งต่ำอย่างชัดเจนเป็นสิ่งยืนยัน

“หากแอนตาร์กติกาเริ่มทําตัวเหมือนอาร์กติกและขอบเขตทะเลน้ําแข็งลดลง นั่นเป็นข้อกังวลหลัก” ดร.ซีเกลร์ตกล่าว นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งของภูมิภาคที่มีมานับพันปีเพื่อช่วยให้ส่วนที่เหลือของโลกเย็นลงกว่าที่ควรจะเป็น

ทะเลน้ำแข็งรอบทวีปแอนตาร์กติกน้อยลงหมายความว่าน้ําสัมผัสกับท้องฟ้ามากขึ้น เนื่องจากน้ํามีสีเข้มกว่าน้ําแข็ง จึงดูดซับความร้อนได้มากกว่า สิ่งนี้เร่งภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การตอบสนองแบบ ice-albedo ในภูมิภาคอาร์กติก วัฐจักรป้อนกลับเชิงบวกนี้เป็นที่ยอมรับและอธิบายได้ว่าทําไมเขตอาร์กติกจึงร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสี่เท่า เมื่อเร็วๆ นี้แอนตาร์กติกาเริ่มร้อนขึ้นเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแอนตาร์กติกาเริ่มกลายเป็นตัวขับเคลื่อนภาวะโลกร้อนมากกว่าที่จะทําหน้าที่เป็นฉนวนกันวิกฤตสภาพภูมิอากาศ “เรากังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ดร.ซีเกลตกล่าว

ในความพยายามเพื่อกระตุ้นเตือน ดร.ซีเกร์ตและผู้เชี่ยวชาญขั้วโลกอีก 13 คนได้รวบรวมรายการเหตุการณ์ผิดปกติที่สังเกตได้ทั้งในทวีปแอนตาร์กติกและในมหาสมุทรใต้โดยรอบ ตั้งแต่ระดับต่ำสุดของทะเลน้ําแข็งไปจนถึงคลื่นความร้อนทางทะเล (19 ครั้งระหว่างปี 2545 ถึง 2561) และบันทึกจํานวนแอ่งที่มีการละลายของน้ำแข็งบนพืดน้ําแข็งบนพื้นทวีป ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนโลก เกิดขึ้นในแอนตาร์กติกาในเดือนมีนาคม 2565 อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 30 ถึง 40°C เหนือค่าปกติในช่วงเวลานั้นของปีในพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอนตาร์กติกาตะวันออก หิ้งน้ําแข็ง Conger ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 1.5 เท่าของนครนิวยอร์กและอยู่ในสถานะวิกฤตแล้ว พังทลายลงภายในไม่กี่วัน

นักวิทยาศาสตร์ยังคงพยายามหาว่าความสุดขั้วเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความผันผวนอย่างต่อเนื่องที่พวกเขาเห็นในมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศอย่างไร และขอบเขตที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวการสูงสุดสําหรับแต่ละเหตุการณ์หรือแนวโน้ม มีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศในระยะยาวในแอนตาร์กติกาตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 21 เมื่อหิ้งน้ําแข็งขนาดใหญ่หลายชั้นได้พังทลายลง

หิ้งน้ําแข็งเป็นแผ่นน้ําแข็งลอยน้ําที่ก่อตัวขึ้นที่ธารน้ําแข็งบนบกไหลออกสู่ทะเล ในแอนตาร์กติกามีขนาดใหญ่ 15 ตัว ซึ่งแต่ละหิ้งน้ำแข็งได้ยึดโยงแนวชายฝั่ง ในเดือนมกราคม 2538 หิ้งน้ําแข็ง Larsen A ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 1,500 ตารางกิโลเมตรได้พังทลายลง เจ็ดปีต่อมา ภาพถ่ายดาวเทียมอันน่าทึ่งแสดงให้เห็นสะเก็ดหิ้งน้ําแข็ง Larsen B ที่อยู่ใกล้เคียงในเวลาไม่กี่สัปดาห์ น้ำแข็งหายไปประมาณ 3,250 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดเท่าเกาะโรดไอแลนด์

แม้จะมีขนาดของเหตุการณ์เหล่านี้—และการศึกษาที่เตือนเมื่อหลายสิบปีก่อนว่าส่วนนี้ของแอนตาร์กติกามีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อภาวะโลกร้อนและช่วยทำให้ระดับน้ําทะเลเพิ่มขึ้นหลายเมตรในช่วงเวลาที่ร้อนขึ้นเมื่อ 120,000 ปีก่อน—การพังทลายของหิ้งน้ำแข็ง Larsen A และ B ไม่ได้ทําให้เกิดความกังวลอย่างเร่งด่วนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระยะยาวของสภาพภูมิอากาศในแอนตาร์กติก ในขณะนั้น แบบจำลองคอมพิวเตอร์ไม่ค่อยเก่งในการจําลองว่าน้ําแข็งขั้วโลกจะตอบสนองต่อโลกที่ร้อนขึ้นอย่างไร ในเดือนธันวาคม 2538 หนึ่งปีหลังจากที่หิ้งน้ำแข็ง Larsen A พังลง คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ประกาศในรายงานการประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับที่สองว่า “คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในขอบเขตของแผ่นน้ําแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกในอีก 50-100 ปีข้างหน้า”

หลายปีที่ผ่านมาได้เปิดเผยว่าการคาดการณ์นั้นผิดพลาดเพียงใด พืดน้ําแข็งของแอนตาร์กติกามีขนาดกว้างเกือบ 1.5 เท่าของสหรัฐอเมริกาและหนามาก (สูงถึง 5 กม.) จนพื้นผิวเรียบของพืดน้ำแข็งปกคลุมเทือกเขาที่ใหญ่และเกือบสูงเท่ากับเทือกเขาแอลป์ยุโรป พืดน้ำแข็งเก็บมวลน้ําแข็งบนบก 90% ของโลก รายงานปี 2562 ของ IPCC ระบุว่า ตรงกันข้ามกับการประเมินก่อนหน้านี้ อัตราที่ทะเลน้ำแข็งสูญเสียมวลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2545 (ดูแผนภูมิ 2) มวลน้ําและน้ําแข็งที่ไหลออกจากพืดน้ําแข็งของกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ําทะเล ซึ่งก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวจากน้ําทะเลที่ร้อนขึ้น

มีหลายปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หิ้งน้ําแข็งที่พังทลายลงซึ่งเปราะบางมากขึ้นจากเบื้องล่างด้วยน้ําอุ่นและทะเลที่ปั่นป่วนมากขึ้น พืดน้ําแข็งซึ่งตั้งอยู่บนทวีปแอนตาร์กติกเชื่อมต่อกับมหาสมุทรด้วยธารน้ําแข็งที่ไหลช้าๆ เข้าหามวลน้ํา พืดน้ําแข็งซึ่งลอยอยู่ที่ขอบทวีป ทําหน้าที่เหมือนจุกไม้ก๊อกที่ค้ำจุนธารน้ําแข็งด้านในทวีป มีการพังทลายด้านขอบและธารน้ําแข็งไหลเร็วขึ้น การพังทลายที่ด้านขอบของทวีปแอนตาร์กติกยังช่วยให้น้ําทะเลที่อุ่นขึ้นสามารถคืบคลานเข้ามาใต้ขอบน้ําแข็ง เล็ดลอดเข้าไปในรอยแตกในน้ําแข็งและระหว่างน้ําแข็งกับพื้นหิน “นั่นเป็นปัญหาเพราะเมื่อมหาสมุทรเข้ามาเกี่ยวข้อง จะเกิดการละลายน้ําแข็งได้เร็วกว่าความร้อนในชั้นบรรยากาศถึงสิบเท่า” ดร.ซีเกร์ตกล่าว

ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเร่งด่วนที่สุดคือพืดน้ําแข็งแอนตาร์กติกตะวันตก ซึ่งกําลังสูญเสียมวลน้ําแข็งเร็วกว่าแอนตาร์กติกตะวันออกมาก (ดูแผนที่) ข่าวดีก็คือพืดน้ําแข็งแอนตาร์กติกตะวันตกกักเก็บมวลน้ําได้น้อยกว่าหนึ่งในสิบของมวลน้ําในแอนตาร์กติกาตะวันออก ข่าวร้ายคือถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น มันไม่ได้ตั้งอยู่บนแผ่นทวีปที่มั่นคง แต่อยู่บนภูมิประเทศที่เยือกแข็งซึ่งประกอบด้วยเกาะต่างๆ คั่นด้วยแอ่งน้ําลึก เมื่อขอบมวลน้ําแข็งเคลื่อนกลับไปที่ทวีป น้ำในมหาสมุทรสามารถไหลเข้าสู่ภูมิทัศน์ที่เยือกแข็งนี้ ทําให้ท้องของมวลน้ําแข็งละลายจากด้านล่างมากขึ้นเรื่อยๆ

เราไม่อาจเห็นมวลนำ้แข็งทั้งหมด

ธารน้ําแข็ง Thwaites ของแอนตาร์กติกาตะวันตก ซึ่งมีพื้นที่เท่ากับบริเตนใหญ่ ปัจจุบันมีส่วนทำให้ระดับน้ําทะเลเพิ่มขึ้นประจําปีทั่วโลกประมาณ 4% นั้นกําลังละลายอย่างรวดเร็ว ธารน้ำแข็งนี้หดตัวลงหลายร้อยเมตรต่อปี (ข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์แสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้เริ่มขึ้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็นในทศวรรษที่ 1940) สันหินด้านต้นของธารน้ำแข็งเคลื่อนไปอยู่ตรงกลางของพืดน้ําแข็งแอนตาร์กติกตะวันตก ถึงจุดต่ำสุดประมาณ 2.5 กม. ต่ำกว่าระดับน้ําทะเล เป็นผลให้ธารน้ำแข็ง Thwaites ทําหน้าที่เป็นเกตเวย์ที่สามารถกักเก็บหรือปล่อยมวลน้ําแข็งจํานวนมหาศาล “หากธารนำ้แข็ง Thwaites หมดไป ก็จะเป็นพืดน้ําแข็งแอนตาร์กติกตะวันตกทั้งหมดที่จะตามมา” ดร. Siegert กล่าว บางทีอาจจะเหมาะสม ที่ธารน้ำแข็งแห่งนี้ถูกเรียกว่า “ธารน้ําแข็งวันสิ้นโลก”

ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดของมวลน้ําแข็งที่ละลายนี้ นอกเหนือไปจากเขตวงกลมแอนตาร์กติก ก็จะเป็นเรื่องจากระดับน้ําทะเลทั่วโลก พืดน้ําแข็งของแอนตาร์กติกากักเก็บน้ําได้มากพอที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้น 60 เมตร แม้ว่าการเพิ่มขึ้นแบบหายนะดังกล่าวจะใช้เวลาหลายศตวรรษจึงจะเกิดขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงในระดับเล็กอาจยังคงส่งผลกระทบอย่างมากต่อพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลก

มวลน้ำส่วนเกินจากการละลายของน้ําแข็งจะกระจายออกไปอย่างไม่เท่าเทียมกัน มวลน้ําแข็งที่หลุดออกจากพื้นทวีป(แอนตาร์กติก)และหลุดลงสู่มหาสมุทรจะลดแรงดึงดูดของมวลแผ่นพื้นทวีปนั้น มวลน้ําแข็งแต่ละก้อนบนโลกมีรูปแบบความโน้มถ่วงและรูปแบบทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ําทะเล ตัวอย่างเช่น มวลน้ําแข็งที่หายไปจากพืดน้ําแข็งของกรีนแลนด์ทำให้ระดับน้ําทะเลลดลงตามแนวชายฝั่งใกล้เคียงของยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือและแคนาดาตะวันออก และทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นทั่วอเมริกาใต้ การสูญเสียมวลน้ําแข็งจากแอนตาร์กติกาตะวันตกทําให้ระดับน้ำาทะเลเพิ่มขึ้นรอบชายฝั่งของอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย กรีนแลนด์สูญเสียมวลน้ําแข็งตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 แต่การสูญเสียมวลน้ำแข็งจากแอนตาร์กติกาตะวันตกเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2010 และมีแนวโน้มที่จะดําเนินต่อไปเช่นนี้ ซึ่งหมายความว่าระดับน้ําทะเลที่เพิ่มขึ้นในอนาคตจะมีผลกระทบที่ไม่ได้สัดส่วนในเขตซีกโลกเหนือ(รวมถึงพื้นที่ฮูสตัน)

ผลที่ตามมาของการละลายน้ําแข็งในแอนตาร์กติกาขยายออกไปนอกเหนือจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น มหาสมุทรใต้ที่ล้อมรอบแอนตาร์กติกเป็นแหล่งดูดซับที่ใหญ่ที่สุดของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และความร้อนในโลก โดยดูดซับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 12% ต่อปีจากกิจกรรมของมนุษย์ กระแสน้ําขนาดใหญ่รอบแอนตาร์กติกาจะกระจายคาร์บอน ความร้อน และสารอาหารไปยังมหาสมุทรที่เหลือของโลก มูลค่าของมหาสมุทรใต้ในฐานะแหล่งดูดซับคาร์บอนเพิ่งประเมินโดย Natalie Stoeckl นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแทสเมเนียว่าอยู่ระหว่าง 28 พันล้านดอลลาร์ถึง 720 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ขึ้นอยู่กับต้นทุนคาร์บอนที่คาดการณ์ โดยมีการประมาณการที่ดีที่สุดที่ 180 พันล้านดอลลาร์ในสถานการณ์สภาพภูมิอากาศปัจจุบัน ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าอัตราการดึงคาร์บอนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อสภาพภูมิอากาศร้อนขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่ากระแสน้ําในมหาสมุทรใต้ หรือที่เรียกว่าการไหลเวียนของแอนตาร์กติกกําลังชะลอตัวลงจากน้ําจืดจากมวลน้ําแข็งที่ละลายไหลออกจากทวีปแอนตาร์กติกมากขึ้น น้ําจืดมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ําทะเลเค็ม จึงลอยอยู่ที่ผิวน้ำนำไปสู่การหยุด “น้ําตก” ใต้น้ําซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่มวลน้ํานับล้านล้านตันซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารและก๊าซต่างๆ จะดิ่งลงสู่ส่วนลึกของมหาสมุทรเมื่อมวลน้ำเหล่านี้เคลื่อนไปไปถึงแนวชายฝั่งทะเลน้ําแข็งของแอนตาร์กติก

การวิจัยที่นําโดยแมทธิว อิงแลนด์ที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ในซิดนีย์ ออสเตรเลีย แสดงให้เห็นเมื่อปี 2566 ว่าการไหลเวียนกระแสน้ำแอนตาร์กติกที่พลิกผันได้ชะลอตัวลง 30% ใน 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สําคัญกําลังหยุดชะงัก การเปลี่ยนแปลงนี้มีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบต่อการประมงด้านเหนือของวงกลมแอนตาร์กติก ซึ่งสิ่งมีชีวิตในทะเลส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาสารอาหารที่ได้มาจากชายฝั่งของแอนตาร์กติกา ประชากรของแพลงตอนแอนตาร์กติก(Antarctic Krill)ซึ่งกลายเป็นอาหารมนุษย์หรืออาหารในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําอาจได้รับผลกระทบด้วย

Matt King ผู้อํานวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์แอนตาร์กติกของออสเตรเลีย เตือนว่าออสเตรเลียซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดของแอนตาร์กติกาไม่ได้เตรียมพร้อมเลยต่อผลที่ตามมาของระบบที่เปลี่ยนแปลงไปของทวีปแอนตาร์กติกาซึ่งอาจมีต่อเศรษฐกิจ การศึกษาแนะนําว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่ขั้วโลกใต้อาจเชื่อมโยงกับรูปแบบสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิ และปริมาณน้ําฝนของออสเตรเลีย “การศึกษาบางชิ้นขัดแย้งกันในบางส่วน” ดร.คิงกล่าว ซึ่งเน้นย้ำว่ายังมีภารกิจอีกมากที่ต้องทําเพื่อทําความเข้าใจสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าอย่างแท้จริง

และนี่คือปมเรื่องของแอนตาร์กติก นานเกินไป มีเพียงไม่กี่คนที่กังวลเกี่ยวกับทวีปที่ห่างไกลที่สุดในโลกและเครื่องทำความเย็นธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด ในขณะที่ความสนใจมุ่งเน้นไปที่เพลิงไฟที่ลุกไหม้ทั้งแบบจริงและแบบเปรียบเปรยในพื้นที่ชายฝั่งที่มีประชากรอยู่อาศัยหน่าแน่น แอนตาร์กติกาถูกพินิจไปต่างๆ นานว่าเป็นสนามเด็กเล่นของนักสํารวจ ดินแดนยูโทเปียของความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ หรือตัวอย่างที่ดีของการปกป้องสิ่งแวดล้อม ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้นั้นอยู่ในทางที่ผิด โดยที่ผู้คนในกัลเวสตันได้ค้นพบ