“I wanted to communicate temperature changes in a way that was simple and intuitive, removing all the distractions of standard climate graphics so that the long-term trends and variations in temperature are crystal clear. Our visual system will do the interpretation of the stripes without us even thinking about it.”

— Ed Hawkins, May 2018

Climate Stripe คิดโดย Professor Ed Hawkins (University of Reading) เพื่อให้บทสนทนาเรื่องโลกร้อนไปสู่วงกว้างมากขึ้นและสื่อสารออกมาได้ง่ายขึ้น แต่ละแถบแสดงให้เห็นถึงการเปรียบเทียบอุณหภูมิเฉลี่ยในแต่ละปี (ถ้าเป็นสีฟ้าคือเย็นกว่าค่าเฉลี่ย ถ้าเป็นสีแดงคือร้อนกว่าค่าเฉลี่ย

ไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลกที่มีความเสี่ยงสูงต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศต้องเผชิญภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(climate disaters) ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งยาวนาน อุณหภูมิผกผัน น้ำท่วมและพายุรุนแรง ที่สร้างความเสียหายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหลายหลายต่อหลายครั้ง เฉพาะอุทกภัยนั้นเกิดขึ้น 67 ครั้งในระหว่าง พ.ศ.2532-2561

“ในปี 2561 ไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 9 ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในโลกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว ทั้งจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นในฤดูน้ำหลากและน้อยลงในฤดูแล้ง ซึ่งส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติ อาทิ อุทกภัย ภัยแล้ง และวาตภัยที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ส่งผลเสียหายต่อภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การเกษตร การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม รวมถึงการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาเมือง การย้ายถิ่นฐานของประชากร การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการแพร่กระจายของโรค

German watch ระบุว่าเนื่องจากประเทศไทยประสบมหาภัยพิบัติจึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติถึง 137 ครั้งโดยเฉพาะในปี 2554 ซึ่งเกิดมหาอุทกภัย คิดเป็นร้อยละ 87 ของความเสียหายที่ผ่านมาทั้งหมด โดยธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท

ในระยะยาวของประเทศไทย(ปลายศตวรรษที่ 22) ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นราว 2.39 เมตร เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงขึ้น 4.3 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับการเพิ่มของระดับน้ำทะเล 1.36 เมตร ที่อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลก 1.6 องศาเซลเซียส ความเสี่ยงที่มาจากพายุหมุนเขตร้อนจะเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย ภายใต้สถานการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกอยู่ที่ 2.4 องศาเซลเซียส จำนวนพายุหมุนเขตร้อนระดับ 4 และ 5 จะเพิ่มขึ้นราว 130% ความรุนแรงของภัยพิบัติจากพายุหมุนเขตร้อนยิ่งมากขึ้นจากปริมาณฝนที่ตกหนักและการเพิ่มของระดับน้ำทะเล

ความเปราะบางของเมืองจากการเกิดน้ำท่วมรุนแรงขึ้น และเสี่ยงจมน้ำอันเนื่องมาจากดินอ่อน การขยายตัวของความเป็นเมือง และการทรุดตัวของแผ่นดิน รวมถึงอิทธิพลของน้ำเหนือ น้ำฝนและน้ำทะเล

มากกว่า 96% ของกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำที่เสี่ยงน้ำท่วมหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาถึงอุทกภัยคาบอุบัติซ้ำ 10 ปี ที่จะเกิดขึ้นภายในปี พ.ศ.2573 ตามการวิเคราะห์โดยใช้ภาพฉายอนาคต RCP8.5

ความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ารวม 512,280 ล้านเหรียญสหรัฐและประชากร 10.45 ล้านคนในกรุงเทพฯ อาจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและน้ำท่วมชายฝั่งในปี พ.ศ.2573

การปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศเป็นสาเหตุของทั้งมลพิษทางอากาศ และวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลก  และผลกระทบเหล่านั้นมีความเหลื่อมล้ำ ซึ่งกลุ่มเปราะบางมักเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับความกดดันทั้งในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสภาพภูมิอากาศให้ต้องมีภาระรับผิดชอบเพิ่มขึ้นในการร่วมแก้ไขปัญหา และจากประเทศคู่ค้าต่างๆ ที่มีศักยภาพ เทคโนโลยี และการจัดการกระบวนการผลิตสินค้าและบริการที่ดีกว่า โดยนำมาเป็นข้อกำหนดหรือข้อบังคับทางการค้า เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเที่ยวบินที่บินเข้าน่านฟ้าของสหภาพยุโรป การบังคับให้ติดฉลากรอยเท้าคาร์บอน (carbon footprint) เป็นต้น การที่ไทยมีฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก ย่อมได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในระดับโลก ประเทศไทยให้สัตยาบันเข้าเป็นรัฐภาคีภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climage Change: UNFCCC) และพิธีสารเกียวโต (The Kyoto Protocol: KP) เมื่อปี 2537 และ 2545 จนมาถึงความตกลงปารีส และเข้าร่วมประชุมหารือกรอบความร่วมมือระดับโลกด้านสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง

ในระดับประเทศ มีการจัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นกรอบนโยบายในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ จัดทำแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อใช้สำหรับเป็นกรอบแนวทางในระยะยาวในการดำเนินงานของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลไทยอ้างความสำเร็จของผลการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ(Nationally Appropriate Mitigation Action:NAMA)เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร้อยละ 7-20 เมื่อเทียบกับกรณีปกติภายในปี พ.ศ.2563 และเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด(Nationally Determined Contribution:NDC)ที่มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20-25 เมื่อเทียบกับการดำเนินงานในกรณีปกติจากทุกภาคส่วน (Economy-Wide) (2) มีคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ แผนแม่บทการรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558-2593 และแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี พ.ศ. 2564–2573 อยู่แล้ว และ (3) แผนการปฏิรูปประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 กำหนดไว้ว่าภายในปี 2563 ประเทศไทยจะต้องมีร่างแรกของพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (พ.ร.บ.โลกร้อน)รวมถึงการมีอนุบัญญัติต่างๆ

ปัจจุบัน นโยบายสภาพภูมิอากาศของไทย รวมถึงการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Dertermined Contribution) และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy : LT-LEDS) หรือ Net Zero ไร้ซึ่งมิติความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ

ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ(Climate Justice) รับรองสิทธิของชุมชนที่พึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิตและสืบทอดวัฒนธรรม รับรองสิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในวิถีทางที่ยั่งยืน ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศยืนหยัดต่อสู้กับการทำให้ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์

Bali Principles of Climate Justice, article 18, August 29, 2002

http://www.ejnet.org/ej/bali.pdf

ภายใต้แนวทางที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความตกลงปารีส(Paris Agreement Consistent Parthway)แสดงให้เห็นว่า ภายในปี พ.ศ.2573 สัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าที่มาจากระบบพลังงานหมุนเวียนแบบคาร์บอนต่ำ( decarbinised electricity)ในภูมิภาคอาเซียนจะมีร้อยละ 50 และสามารถไปถึงระบบพลังงานหมุนเวียนแบบคาร์บอนต่ำเต็มร้อยภายในปี พ.ศ.2593

ภาพฉายระดับภูมิภาค(Regional Scenario)อื่นๆ แสดงให้เห็นอีกว่า ภายในปี พ.ศ.2573 สัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าที่มาจากระบบพลังงานหมุนเวียนแบบคาร์บอนต่ำ(decarbinised electricity) ของประเทศไทยสามารถทำได้ถึงร้อยละ 60 รวมถึงบทบาทของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ใช้ไฟฟ้าปลายทาง ดังนั้น การลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยภายใต้ NDC ควรมีเป้าหมายสูงส่งมากกว่านี้

การวิเคราะห์ของกรีนพีซ ประเทศไทยสามารถทะยอยปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินให้หมดภายในปี 2580 หรือ เร่งปลดทั้งหมดภายในปี 2570 โดยที่ยังเหลือไฟฟ้าสำรองใช้และคงความมั่นคงทางพลังงานไว้ได้

จากการที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8 – 9 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 600 เมกะวัตต์ พร้อมระบบส่งไฟฟ้า ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 47,470 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอในวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 นั้น

กรีนพีซ ประเทศไทย มีความเห็นว่า มติ ครม. ดังกล่าว นอกจากจะสวนทางกับเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 40 ภายใต้แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี 2564-2573 (Thailand’s Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021-2030) [1] ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไว้ในเวที Leader Summit ที่ COP26 กลาสโกว์ สหราชอาณาจักรในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาแล้ว ยังย้อนแย้งกับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (Long-term low greenhouse gas emission development strategies: LT-LEDS) [2] ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เพื่อส่งให้กับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(UNFCCC) อีกด้วย

การศึกษาฉากทัศน์เพื่อปลดระวางถ่านหินจากระบบการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย [3] โดยกรีนพีซ ประเทศไทย มูลนิธินโยบายสุขภาวะ กองทุนแสงอาทิตย์และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ประเทศไทยสามารถดำเนินการปลดระวางถ่านหินภายในปี 2580 โดยการยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ และทยอยปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินเดิม หรือสามารถเร่งปลดระวางถ่านหินให้หมดภายในปี 2570 โดยการยกเลิกสัญญารับซื้อไฟฟ้าบางฉบับก่อนครบกำหนด ในขณะที่สามารถคงความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าในระดับกำลังผลิตสำรองมากกว่าร้อยละ 15 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้ตลอดช่วงปี 2564-2580 นอกจากนี้ ยังมีการกระจายแหล่งพลังงานไฟฟ้าได้อย่างสมดุลไม่ต่างจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

กรีนพีซ ประเทศไทย มีความเห็นเพิ่มเติมว่า “คำถามที่สำคัญคือ ในเมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโฆษณาถึง Mae Moh Smart City [4] สำหรับการเปลี่ยนแปลงอนาคต โดยลดกำลังผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหินที่แม่เมาะเป็น 1,255 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8 – 9 ซึ่งจะยิ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมทั้งในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง และการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศในระดับประเทศ”

แม้ว่าในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี(2561-2580) ของประเทศไทยระบุว่าจะมุ่งเน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ปรับปรุงการบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ และการสร้างขีดความสามารถของประชาชนในการรับมือและปรับตัวเพื่อลดความสูญเสียและเสียหายจากภัยธรรมชาติและผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ แต่เห็นได้ชัดเจนว่าละเลยประเด็นความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) ในขณะที่การใช้ถ่านหินนำเข้าในภาคอุตสาหกรรมยังเพิ่มปริมาณมากขึ้น สวนทางกับแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยการ “ลด ละ เลิกถ่านหิน” ตามเจตนารมย์ของความตกลงปารีส โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา การถมทะเลขยายท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ข้อเสนอถมทะเลของเอ็กซอนโมบิล ไปจนถึงการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลักที่คุกคามความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาคอุษาคเนย์ เป็นต้น นั้นย้อนแย้งกับคำว่า “เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ” อย่างถึงที่สุด

Net zero (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์) กลายเป็นคำฮิตที่ฟังดูเท่ (buzz word) โดยเฉพาะหลังจากการประชุมเจรจาสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ(COP26) ที่กลาสโกว์ สหราชอาณาจักรปลายปี 2564 ซึ่งนายอะล็อก ชาร์มา ประธาน COP26 ประกาศผลสำเร็จว่า พันธะกรณี net zero นั้นครอบคลุมมากกว่า 90% ของจีดีพี(GDP)โลก และมี 153 ประเทศทั่วโลกรวมถึงจีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย [1]  เสนอเป้าหมายใหม่ในการลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2573 [2]

กล่าวได้ว่า net zero กำลังเขย่าการเมืองว่าด้วยสภาพภูมิอากาศโลก เพราะก่อนหน้านี้ แนวคิดดังกล่าวยังเป็นไอเดียในแวดวงวิทยาศาสตร์ ส่วนนักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายมองว่าเป็นเรื่องสุดขั้วด้วยซ้ำไป

จนกระทั่งปี 2558 มีการกล่าวถึง net zero แบบอ้อมๆ ในตอนท้ายของความตกลงปารีส(COP21) ต่อมาปี 2560 สวีเดนประกาศตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2588 จะบรรลุถึง net zero หลังจากนั้น หลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสก็ทะยอยประกาศ net zero ตามมา แม้กระทั่ง บางประเทศที่เคยเป็นอุปสรรคมากที่สุดในการเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศ ก็ยังกลับมาตั้งเป้าหมาย net zero ของตน

หากเราต้องการลดก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี 2573 (จาก 555 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าลดลงเป็น 333 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) เราจะต้องจำกัดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้เพิ่มสูงสุดภายในปี 2568 (ไม่เกิน 368 ล้านตัน) และต้องลดลงหลังจากนั้น(จนเหลือ 333 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2573)

ตามแผนภายใต้ฉากทัศน์นี้ประกอบด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพทางพลังงาน การเพาะปลูกข้าวที่ปล่อยมีเทนต่ำ การส่งเสริมก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ ไปจนถึงนโยบาย 30@30 (30%ของยานยนต์เป็น zero emission vehicles) การทะยอยปลดระวางยานยนต์สันดาปภายใน เพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคการขนส่ง การใช้แบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยคาดหวังว่าทั้งหมดนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้รวมกัน 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

น่าเสียดายที่หมุดหมายแรกนี้ไม่ตอบโจทย์สำคัญต่อไปนี้

(1) โจทย์ว่าด้วยการวางแผนกำลังผลิตไฟฟ้าที่ผิดพลาดและนโยบายพลังงานที่ไม่ตอบโจทย์อนาคต ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าล้นระบบเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดมากกว่าร้อยละ 40 โรงไฟฟ้าส่วนเกินจากกำลังผลิตสำรอง 15% มีมากถึง 9,055 เมกะวัตต์ เท่ากับการลงทุนที่ล้นเกินถึง 226,000 ล้านบาท (ประมาณการที่เมกะวัตต์ละ 25 ล้านบาท) ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายอย่างน้อย 33,879 ล้านบาทต่อปี

(2) โจทย์ปลดระวางถ่านหิน ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(PDP 2018 Rev.1) กำลังผลิตสำรองแบบพึ่งได้ในปี 2564 มีสูงถึง 13,800 เมกะวัตต์ หรือร้อยละ 43.6 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ในขณะที่กำลังผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินอยู่ที่ 6,110 เมกะวัตต์ เราสามารถลดการพึ่งพาถ่านหินให้เป็นศูนย์ในขณะที่กำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศยังล้นเหลือ ผลคือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 21-24 ล้านตันต่อปี

การปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหิน นอกจากช่วยให้มีการใช้โรงไฟฟ้าที่ล้นเกินอย่างเต็มที่มากขึ้นแล้ว รัฐบาลยังสามารถนำเงินค่าความพร้อมจ่ายที่สูงลิบลิ่วมาเป็นค่าชดเชยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหิน และไม่เป็นภาระในอนาคตของค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่าย นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถโยกงบลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในอนาคต ไปดำเนินการเรื่องที่มีความสำคัญต่อประชาชน เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน และระบบกริดอัจฉริยะ เป็นต้น

(3) โจทย์ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมและการตัดสินใจที่ชาญฉลาด(ของรัฐบาล)ทั้งในมิติของความสมดุลการกระจายแหล่งพลังงาน (Energy Mixture Balance) โดยไม่พึ่งพาแหล่งพลังงานชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินสมดุลซึ่งก่อความเสี่ยงในการเกิดไฟฟ้าดับหากมีปัญหาเกิดขึ้นกับแหล่งพลังงานนั้นๆ มิติค่าไฟฟ้า (Electricity Cost) โดยทำให้ไม่สูงจนประชาชนต้องแบกภาระเกินจำเป็น และมิติการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม(Just Transition) โดยไม่ทำให้ภาคแรงงานและผู้ได้รับผลกระทบในกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง

(4) โจทย์การจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ จนถึงปี 2573 นอกจากการปลดระวางถ่านหิน รัฐบาลสามารถปรับลดกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซฟอสซิลและการนำเข้าก๊าซฟอสซิลเหลว(LNG) โดยที่ยังรักษาอัตราสำรองกำลังผลิตไฟฟ้า (reserve margin) เหลือใกล้เคียงมาตรฐานร้อยละ 15 แล้วเพิ่มการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดตามการเพิ่มของความต้องการใช้ไฟฟ้าหลังปี 2570 ก็จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และยังสามารถเพิ่มการจ้างงานโดยตรงในระบบเศรษฐกิจ

หมุดหมายนี้ห่างจากหมุดหมายแรก 20 ปี และยิ่งเพิ่มความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ หากหมุดหมายแรกในปี 2573 ผิดเพี้ยนไปไม่ตอบโจทย์

โจทย์ของการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทยเริ่มจากการนำภาคการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และภาคป่าไม้(Land Use Land-use Change and Forestry – LULUCF) มาเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนให้ได้ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2580

เพื่อให้เห็นภาพ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าว่ามากน้อยเพียงใด ขอยกตัวอย่างกลยุทธ์ net-zero ของบริษัท Royal Dutch Shell ที่มีแผนการชดเชยคาร์บอนไดออกไซด์ 120 ล้านตันต่อปี จากรายงานของ ActionAid [3] จะต้องปลูกป่าในพื้นที่ 116,549 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ รายงานของ Oxfam [4] ซึ่งสำรวจแผน net zero ของ Royal Dutch Shell และอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฟอสซิลอีกสามรายคือ BP, TotalEnergies และ ENI สรุปว่า “อาจต้องใช้พื้นที่เป็นสองเท่าของสหราชอาณาจักร ถ้าอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฟอสซิลทั้งหมดมีเป้าหมาย net zero อาจต้องใช้ที่ดินที่มีขนาดเกือบครึ่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาหรือหนึ่งในสามของพื้นที่การเกษตรของโลก”

ข้อมูลจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก [5] และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อไปให้ถึงศักยภาพการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก 120 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2580 ต้องใช้พื้นที่ป่าธรรมชาติ 113.23 ล้านไร่[6] ป่าเศรษฐกิจ 48.52 ล้านไร่[7] พื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบท 16.17 ล้านไร่ (หรือรวมๆ กันเท่ากับเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ประเทศ)

ตามแผน net zero พื้นที่ป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจในประเทศไทยมีอยู่เดิมแล้ว 102.04 ล้านไร่ และ 32.65 ล้านไร่ตามลำดับ และมีการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกรวมกัน 100 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2564 ดังนั้น ยังเหลือตามเป้าหมายอีก 20 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าซึ่งต้องการพื้นที่ป่าธรรมชาติเพิ่ม 11.29 ล้านไร่ และป่าเศรษฐกิจเพิ่ม 15.99 ล้านไร่

การเพิ่มพื้นที่ป่าธรรมชาติ 11.29 ล้านไร่ภายในปี 2580 นี้เองที่สะท้อนถึงการแปลงธรรมชาติให้กลายเป็นสินค้าโดยปลูกป่าค้าขายคาร์บอน พื้นที่ป่าโดยเฉพาะป่าชายเลนซึ่งภาคธุรกิจแจ้งความจำนงเข้าร่วมมากกว่า 550,000 ไร่ [8] ไปจนถึงโครงการปลูกป่าและการเตรียมประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติในหลายพื้นที่ซึ่งมีชุมชนชาติพันธุ์ตั้งถิ่นฐานมานานนับศตวรรษและจัดการป่าใช้สอย ป่าอนุรักษ์และทำกินแบบไร่หมุนเวียนนั้นกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมที่ขัดกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน(SDGs) ตัวอย่างเช่น การไม่ยอมรับโครงการปลูกป่าในชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่จอกฟ้า [9] [10]

ข้ออ้างของการปลูกป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนยังเป็นส่วนหนึ่งที่เร่งเร้าปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าภายหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2557 มีชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าถูกรัฐประกาศทับ ถูกยึดพื้นที่ทำกินและถูกดำเนินคดี ในช่วงเวลาเพียง 6 ปีหลังมีคำสั่ง คสช. มีคดีความเพิ่มขึ้นถึง 46,600 คดี [11]

การวิจัยระบุว่า ยุทธศาสตร์ net zero ที่พึ่งพาการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกแบบชั่วคราวเพื่อชดเชยกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิดจริงจะประสบความล้มเหลว ข้อจำกัดของธรรมชาติ พื้นที่ที่มีจำกัดและกรอบเวลาในการเพิ่มปริมาณการดูดกลับซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาเสถียรภาพของระบบโลกนั้นไม่สามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่องได้ [12]

แทนที่จะนำพื้นที่ป่าธรรมชาติ 11.29 ล้านไร่ มาแปลงเป็นสินค้าในตลาดซื้อขายคาร์บอนและสร้างความไม่เป็นธรรมทางสังคม สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ(climate justice)เพิ่มขึ้น รัฐบาลจะต้องปฏิรูปการจัดการป่าไม้โดยกระจายอำนาจสู่ชุมชนและท้องถิ่น รับรองสิทธิทางกฏหมายของชุมชนในการดูแลพื้นที่ป่า และยุติโครงการพัฒนาทั้งหลายที่ทำลายผืนป่าโดยทันที

มีเวลาที่ซ้อนทับกันระหว่างหมุดระหว่างทางและหมุดหมายปลายทาง นอกเหนือจากการฟอกเขียวโดยภาคการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและภาคป่าไม้ (Land Use Land-use Change and Forestry – LULUCF) ยังมีการระบุถึงการลดโรงไฟฟ้าถ่านหิน(phase down coal-fired power plant)/การปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหิน(phase out coal-fired power plant) ระหว่างปี 2583-2593 ซึ่งจริงๆ แล้วต้องเกิดขึ้นภายในปี 2580 เป็นอย่างช้า การใช้ไฮโดรเจนเขียว(green hydrogen)ในภาคการคมนาคมขนส่งและภาคอุตสาหกรรมในปี 2588 และเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 74% ภายในปี 2593

กลลวงอันโดดเด่นในสองหมุดหมายที่คร่อมเวลากันนี้คือ การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนแบบต่างๆ เช่น Carbon Captuer and Storage-CCS, Carbon Capture Usage and Storage(CCUS), Bioenergy with Captuer and Storage-BECCS โดยจะเริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2583 ไปจนถึงปี 2608

หัวเรือใหญ่เรื่องนี้ก็คือ ปตท.สผ.(PTTEP) ซึ่งริเริ่มศึกษาและพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นครั้งแรกที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนา CCS ในพื้นที่อื่นๆ เพื่อเป้าหมาย net zero ของประเทศ [13] เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ระดับโลก นี่คือ กลลวงคาร์บอนอย่างแท้จริง

ที่แคนาดา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติอนุมัติโครงการ Quest เพื่อผลิตน้ำมันจากทรายน้ำมัน(tar sand) ซึ่งมีเงินอุดหนุน 654 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอ้างว่า เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน(CCS) เป็น “เครื่องมือสำคัญสู่เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่มุ่งมั่นของแคนาดา” นั่นคือ net zero ภายในปี 2593 แต่โครงการ Quest ปล่อยคาร์บอนมากกว่าที่ดักจับ/กักเก็บได้และเพิ่มการผลิตทรายน้ำมันซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่สกปรกที่สุดและมีคาร์บอนเข้มข้นมากที่สุดในโลก เป้าหมาย net zero จึงล่องลอยในสายลม [14]

นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการและนักวิเคราะห์ด้านพลังงานระหว่างประเทศ 400 คนลงนามในจดหมายถึงรัฐบาลแคนาดาเพื่อขอให้ยุติการสนับสนุนโครงการ จดหมายเตือนว่า การดักจับ กักเก็บและใช้ประโยชน์คาร์บอน(CCUS) ไม่ใช่ “เทคโนโลยีการปล่อยคาร์บอนเป็นลบ(negative emission technology)”แถมยังใช้เงินภาษีประชาชนหลายพันล้านเหรียญกระตุ้นการผลิตน้ำมัน นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการเตือนถึงผลกระทบด้านสุขภาพต่อชุมชนท้องถิ่นว่าการอุดหนุนเงินให้กับโครงการนี้จะทำให้แคนาดาต้องพึ่งพาทรายน้ำมันอันสกปรก และโครงการจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นราว 50 ล้านตันต่อปีภายในปี 2578

จากข้อมูลของสำนักข่าวรอยเตอร์ โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน(CCS)เชิงพาณิชย์ 26 แห่งทั่วโลกสามารถดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ราว 40 ล้านตันต่อปี ในขณะที่การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของทั้งโลกอยู่ในราว 36.4 พันล้านตันต่อปี

โครงการ CCS แห่งแรกของปตท.สผ.(PTTEP) ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย คาดว่าจะดักจับและกักเก็บคาร์บอนได้ราว 700,000 ตันต่อปี ภายใต้แผน net zero ของประเทศไทย ประมาณว่าจะใช้ทั้ง CCS และ BECCS ดักจับและกักเก็บคาร์บอนได้ 61.3 ล้านตันภายในปี 2608 เมื่อคำนวณต้นทุนที่ 100-200 เหรียญสหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การดักจับและกักเก็บคาร์บอนดังกล่าวนี้จะใช้เงินลงทุนมหาศาลถึง 6,130-12,260 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 216,934-433,869 ล้านบาท) [15]

หลังจาก 5 ทศวรรษของการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนด้วยเงินอุดหนุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ การโฆษณาเกินจริง การลดหย่อนภาษี การค้ำประกันและการหลอกลวง อุตสาหกรรมฟอสซิลดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพียง 0.1% ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของทั้งโลก ในขณะเดียวกัน คาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับก็ถูกนำไปใช้เพื่อผลิตน้ำมันมากขึ้น

นับตั้งแต่มีโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนแห่งแรกในปี 2515 การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจาก 14.68 เป็น 36.4 พันล้านตันต่อปี  ไม่ใช่แม้กระทั่ง “การปล่อยเป็นศูนย์สุทธิ” ตามที่สัญญาไว้ [16]

ตั้งแต่หมุดหมายแรกจนถึงปลายทางของ net zero ไทยดังที่กล่าวมานี้ เราจำเป็นต้องตั้งคำถามต่อการฟอกเขียวและกลลวงคาร์บอน และติดตามตรวจสอบเพื่อรับรองว่า ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ทั้งหลายจะต้องมีภาระรับผิด(accountability) โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งห่วงโซ่อุปทานของตนอย่างแท้จริง (real zero) และยุติการผลักภาระให้กับผู้คน ชุมชน สังคมและโลกใบนี้

ไทยถูกจัดเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกที่จะได้รับผลกระทบระยะยาวจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่นโยบายสภาพภูมิอากาศ(Climate Policy)ของไทยไม่ได้สัดส่วน โดยมุ่งให้ความสำคัญกับมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (mitigation) เป็นหลัก และเน้นการปรับตัวจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (adaptation) น้อยเกินไปโดยเปรียบเทียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับตัวที่ริเริ่มโดยท้องถิ่น(locally-led adaptation) เพื่อให้มั่นใจว่าชุมชนท้องถิ่นและกลุ่มคนที่เสี่ยง เปราะบางและอ่อนไหวต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุดจะมีสิทธิ์ตัดสินใจใช้ทรัพยากรทางการเงิน และเข้าถึงเงินทุนและการสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อสร้างศักยภาพภูมิคุ้มกันจากวิกฤต (resilience)

กรอบท่าทีเจรจาของไทยในการประชุม COP27 ไม่พูดถึงประเด็นความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นหลักของการเจรจาใน COP27 ที่ผลักดันโดยกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จากรายงาน Global Climate Risk Index 2021 ระบุชัดเจนว่าในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว 146 ครั้ง สร้างความสูญเสียต่อชีวิต 0.21 ต่อประชากร 1 แสนคน และเกิดความเสียหาย 7,719.15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 0.82% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) คำถามและสิ่งที่ต้องจับตาคือ คณะเจรจาของไทยที่ COP27 จะมีท่าทีที่ชัดเจนหรือไม่อย่างไรต่อข้อเสนอการจัดตั้งกองทุนว่าด้วยความสูญเสียและความเสียหาย(Loss and Damage Fund) รวมถึงการดำเนินการภายใต้ข้อ 8 ของความตกลงปารีส และความตกลงกลาสโกว์

หากขาดสมดุลและไม่ได้สัดส่วน กรอบท่าทีเจรจาของไทยในการประชุม COP27 จะเป็นกลไกสำคัญของการฟอกเขียว(Greenwashing) ทั้งเอกสารการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 (2nd Updated Nationally Dertermined Contribution) และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศฉบับปรับปรุง (Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy : LT-LEDS Revised Version) หรือ Net Zero ที่จะนำเสนอต่อ UNFCCC รวมถึงการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฎิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย(Thailand Climate Action Conference: TCAC)ที่เป็นอีเว้นท์ของอุตสาหกรรมฟอสซิล ต่างพยายามผลักดันเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) พลังงานชีวภาพที่มีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Bioenergy with Carbon Capture and Storage: BECCS) โครงการ CCS แห่งแรกที่วางแผนในประเทศไทยนำโดย ปตท.สผ.(PTTEP) ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย ซึ่งคาดว่าจะดักจับและกักเก็บคาร์บอนราว 700,000 ตันต่อปี ภายใต้แผน net zero ของประเทศไทย ประมาณว่าจะใช้ทั้ง CCS และ BECCS ดักจับและกักเก็บคาร์บอนได้ 61.3 ล้านตันภายในปี 2608 เมื่อคำนวณต้นทุนที่ 100-200 เหรียญสหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การดักจับและกักเก็บคาร์บอนดังกล่าวนี้จะใช้เงินลงทุนมหาศาลถึง 216,934-433,869 ล้านบาท [9] อนึ่ง ต้องไม่ลืมว่าหลังจาก 5 ทศวรรษของการพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนด้วยเงินอุดหนุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ การโฆษณาเกินจริง การลดหย่อนภาษี การค้ำประกันและการหลอกลวง อุตสาหกรรมฟอสซิลดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพียง 0.1% ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของทั้งโลก ในขณะเดียวกัน คาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับก็ถูกนำไปใช้เพื่อผลิตน้ำมันมากขึ้น

กรอบท่าทีเจรจาของไทยในการประชุม COP27 โน้มเอียงอย่างชัดเจนในการสนับสนุนอุตสาหกรรมฟอสซิลและบรรษัทขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองทำการค้าขายคาร์บอนภายใต้แนวทางและกลไกความร่วมมือตามข้อ 6 ของความตกลงปารีส (Ariticle 6) ที่ถูกตีความโดยประเทศรัฐภาคีและภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ รวมถึงรัฐบาลไทยและอุตสาหกรรมฟอสซิลของไทยว่า Article 6 เกี่ยวข้องกับการเปิดตลาดโลกเพื่อชดเชยคาร์บอน(carbon offset) แท้ที่จริงแล้ว การชดเชยคาร์บอนคือใบอนุญาตให้อุตสาหกรรมฟอสซิลผู้ก่อมลพิษเดินหน้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป ขณะเดียวกัน เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจในการแปลงทรัพยากรธรรมชาติให้กลายเป็นสินค้าและเอื้ออำนวยให้บรรษัทและรัฐบาลที่ทรงอิทธิพลเข้ายึดครองผืนแผ่นดินของชุมชนที่เปราะบาง ละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำลายระบบนิเวศ ดังในกรณีข้ออ้างของการปลูกป่าขายคาร์บอนที่เป็นส่วนเร่งเร้าปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าภายหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2557 มีชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าถูกรัฐประกาศทับ ถูกยึดพื้นที่ทำกินและถูกดำเนินคดี ในช่วงเวลาเพียง 6 ปีหลังมีคำสั่ง คสช. มีคดีความเพิ่มขึ้นถึง 46,600 คดี

ในระหว่างการประชุม COP27 ที่สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (6-18 พฤศจิกายน 2565) และการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเอเปคที่กรุงเทพฯ (17-18 พฤศจิกายน) กรีนพีซ ประเทศไทย จะติดตามความเคลื่อนไหวของการประชุมเจรจา ทั้งในเรื่องท่าทีของคณะเจรจาไทยต่อประเด็นความสูญเสีญและความเสียหาย(Loss and damage) การฟอกเขียวและกลลวงคาร์บอนของรัฐบาลไทย และเปิดโปงอิทธิพลของอุตสาหกรรมฟอสซิลที่มีต่อนโยบายสภาพภูมิอากาศของไทย และเรียกร้องให้อุตสาหกรรมฟอสซิลทั้งหลายมีภาระรับผิด(accountability) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แหล่งกำเนิดทั้งห่วงโซ่อุปทานของตนอย่างแท้จริง (real zero) และยุติการผลักภาระ “หนี้นิเวศ” ให้กับผู้คน ชุมชน สังคมและโลกใบนี้