
คู่มือเบื้องต้นนี้ที่เรียบเรียงจาก https://zerocarbon-analytics.org/archives/netzero/carbon-offsets-primer ชี้ให้เห็นว่าการชดเชยคาร์บอนโดยหลักการแล้วไม่ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และในทางปฏิบัติก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ยังมีแนวทางอื่นๆ ในการจัดสรรเงินทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศที่สามารถนำมาใช้แทนได้
ประเด็นสำคัญ:
- การชดเชยคาร์บอน หมายถึง การใช้ คาร์บอนเครดิต ซึ่งเทียบเท่ากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ หนึ่งตันที่ถูกหลีกเลี่ยง ลด หรือกำจัด โดยประเทศ บริษัท หรือบุคคล เพื่อนำไป “ชดเชย” การปล่อยก๊าซที่เกิดขึ้นที่อื่น
- เนื่องจากการชดเชยคาร์บอนไม่ได้ทำให้เกิดการลดการปล่อยสุทธิ การใช้กลไกนี้จึงไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5°C หรือ 2°C แต่กลับยิ่งทำให้การลดการปล่อยก๊าซล่าช้าออกไป
- แทนที่จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในการกระตุ้นการลดการปล่อยก๊าซ งานวิชาการและรายงานการสืบสวนพบว่า โครงการที่ใช้เพื่อการชดเชยคาร์บอนไม่ได้สร้างการลดการปล่อยที่แท้จริง กลับกันกลับทำให้การปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นโดยรวม
- สาเหตุคือ การชดเชยคาร์บอนส่วนใหญ่เกิดจากโครงการที่มุ่ง “ลดหรือหลีกเลี่ยง” การปล่อยก๊าซเมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีโครงการเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ยากมาก โครงการมักจะประเมินปริมาณคาร์บอนเครดิตเกินจริง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่การลดการปล่อยก๊าซจะถูกย้อนกลับหรือรั่วไหลไปยังพื้นที่อื่น
- การชดเชยจากการลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซ ไม่มีที่ยืนในนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่มีความทะเยอทะยานจริงจัง
- นอกจากนี้ โครงการการชดเชยคาร์บอนมักถูกเชื่อมโยงกับการฉ้อโกงและการละเมิดสิทธิมนุษยชน การที่บริษัทใช้การชดเชยคาร์บอนจึงก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและการถูกฟ้องร้อง
- แม้ว่ากลไกการชดเชยคาร์บอนจะมักถูกนำเสนอว่าเป็นวิธีระดมทุนด้านสภาพภูมิอากาศไปยังประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่มีพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ แต่ก็มีทางเลือกอื่นที่สามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถให้ “การสนับสนุนเพื่อสภาพภูมิอากาศ” โดยไม่จำเป็นต้องอ้างสิทธิ์เครดิต และรัฐบาลสามารถจัดสรรรายได้จากภาษีความมั่งคั่งและภาษีเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ
- นอกเหนือจากความพยายามลดการปล่อยก๊าซอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง รายงาน IPCC ยังระบุถึง “ความจำเป็นในเชิงทฤษฎี” ที่ต้องมีการกำจัดคาร์บอนถาวร เพื่อนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซที่เหลือเพียงเล็กน้อย และเพื่อชดเชยการปล่อยในอดีตหลังจากที่เราบรรลุเป้าหมายการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ หากต้องการให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การกำจัดคาร์บอนยังเผชิญกับข้อจำกัดด้านความเป็นไปได้มากมาย และการพึ่งพาการใช้ในอนาคตในวงกว้างถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงสูงและไม่แน่นอน
- การลดการปล่อยก๊าซต้องเป็นลำดับความสำคัญสูงสุดเสมอ ปัจจุบันมีตัวเลือกที่คุ้มค่าหลากหลายสำหรับการลดการปล่อยก๊าซ ซึ่งยังมีศักยภาพอีกมากหากได้รับการนำมาใช้เต็มที่
การชดเชยคาร์บอนคืออะไร?
การชดเชย (offsetting) หมายถึง การใช้ เครดิต ซึ่งเทียบเท่ากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่น ๆ หนึ่งตันที่ถูกหลีกเลี่ยง ลด หรือกำจัด โดยประเทศ บริษัท หรือบุคคล เพื่อนำไป “ลบล้าง” การปล่อยก๊าซของตนที่เกิดขึ้นที่อื่น เมื่อเครดิตถูกนำมาใช้เพื่อลดการปล่อยแล้ว เครดิตนั้นจะถูกยกเลิก (retired) และไม่สามารถนำกลับมาใช้อีกได้
เครดิตคาร์บอนสามารถซื้อขายได้ในตลาดคาร์บอนสองประเภท คือ ตลาดบังคับ (compliance) และ ตลาดสมัครใจ (voluntary)
ตลาดบังคับ (compliance markets) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยรัฐบาล และเกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซที่ถูกกำหนดโดยกฎหมาย ตัวอย่างเช่น ระบบเพดานและการซื้อขาย (cap-and-trade) หรือระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซ (ETS) เช่น ระบบ ETS ของสหภาพยุโรป (EU ETS) โดยบางระบบบังคับเหล่านี้อนุญาตให้ใช้การชดเชยคาร์บอนในสัดส่วนที่จำกัดเพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดการลดการปล่อย
ตลาดสมัครใจ (voluntary carbon market – VCM) ส่วนใหญ่ไม่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เปิดโอกาสให้บริษัทหรือบุคคลใช้การชดเชยคาร์บอนเพื่อลดการปล่อย โดยไม่ได้มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ในปี 2023 มีรายงานว่าตลาดสมัครใจมีปริมาณธุรกรรมเทียบเท่ากับการซื้อขายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 110.8 ล้านตัน (CO2e) คิดเป็นมูลค่า 723 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ณ สิ้นปี 2024 เครดิตคาร์บอนส่วนใหญ่ที่ออกมาจากโครงการ ได้แก่ โครงการป่าไม้และการใช้ที่ดิน (34.6%) โครงการพลังงานหมุนเวียน (31.8%) ตามมาด้วย โครงการที่เกี่ยวข้องกับครัวเรือนและชุมชน เช่น โครงการเตาทำครัวสะอาด (12.4%)
ประวัติย่อของการชดเชยคาร์บอน
การชดเชยคาร์บอนถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในฐานะ “กิจกรรมเพื่อการกุศลล้วนๆ” ตามคำกล่าวของ ดร.มาร์ค เทร็กซ์เลอร์ (Dr Mark Trexler) ผู้ที่สถาบัน World Resources Institute จ้างมาดูแลโครงการชดเชยคาร์บอนบนที่ดินแห่งแรกในปี 1988 โดยเทร็กซ์เลอร์ให้สัมภาษณ์กับ Carbon Brief ในปี 2023 ว่า
“ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าการชดเชยคาร์บอนจะช่วยกอบกู้โลกได้”
ต่อมา การชดเชยคาร์บอนถูกนำมาใช้กับประเทศต่างๆ ภายใต้พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) เพื่อมอบความยืดหยุ่นในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย โดยการปล่อยก๊าซสามารถซื้อขายได้ผ่านกลไก 3 รูปแบบ คือ
การซื้อขายการปล่อยก๊าซระหว่างประเทศ (International Emissions Trading)
กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism – CDM
การดำเนินการร่วมกัน (Joint Implementation)
ในปี 2012 พิธีสารเกียวโตและระบบซื้อขายคาร์บอนที่เกี่ยวข้องเริ่มล่มสลาย หลังจากนั้น การชดเชยคาร์บอนก็ย้ายไปสู่ ตลาดสมัครใจ (VCM) ที่แทบไม่มีการกำกับดูแล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลายประเทศและภูมิภาคได้กำหนดกลไกของตนเองสำหรับการซื้อขายและชดเชยคาร์บอน
การใช้การชดเชยคาร์บอนยังคงได้รับอนุญาตตาม มาตรา 6 ของความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งว่าด้วยการซื้อขายคาร์บอน โดยประเทศต่างๆ สามารถซื้อขายเครดิตคาร์บอนกันแบบทวิภาคี (มาตรา 6.2) หรือผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ (มาตรา 6.4) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อกำหนดเรื่องความโปร่งใสน้อยมาก และแทบไม่มีบทลงโทษจริงหากประเทศต่างๆ ไม่ปฏิบัติตามกติกา จึงมีความเสี่ยงสูงที่มาตรา 6 จะนำไปสู่การซื้อขายเครดิตคาร์บอนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ (low integrity credits) และอาจทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น
เหตุผลเบื้องหลังการชดเชยคาร์บอนไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์
ตามทฤษฎีแล้ว โครงการชดเชยคาร์บอนถูกมองว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ เพราะช่วยให้การลดการปล่อยก๊าซเกิดขึ้นในที่ที่มีต้นทุนต่ำที่สุด
ตัวอย่างเช่น ประเทศหรือบริษัทที่ประสบปัญหาในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ สามารถจ่ายเงินเพื่อให้เกิดการลดการปล่อยในที่อื่นซึ่งมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า วิธีนี้ยังถูกมองว่าสามารถระดมเงินทุนเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกไปสู่ประเทศกำลังพัฒนาที่ซึ่งมีเป้าหมายง่ายๆ (low-hanging fruit)ให้ดำเนินการ
สิ่งนี้หมายความว่าการชดเชยคาร์บอน ในทางดีที่สุดก็เป็นเพียงเกมที่ผลรวมเท่ากับศูนย์ (zero-sum game) และโดยโครงสร้างแล้วไม่ได้ทำให้การปล่อยก๊าซลดลงจริง หากดำเนินการอย่างถูกต้อง การชดเชยก็เพียงแค่ชดเชยการเพิ่มการปล่อยในที่หนึ่งด้วยการลดในอีกที่หนึ่ง แต่ผลงานวิจัยพบว่า หลายโครงการชดเชยไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง
เมื่อโครงการที่ใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซในที่อื่นขาดความน่าเชื่อถือด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น ไม่ได้สร้างการลดการปล่อยจริง) ผลลัพธ์คือ การปล่อยก๊าซโดยรวมเพิ่มขึ้น ความจริงแล้ว การประเมินโครงการชดเชยคาร์บอนในอดีตตลอดหลายสิบปีแสดงให้เห็นว่า หลายโครงการล้มเหลวในการลดการปล่อยตามที่สัญญาไว้
การชดเชยคาร์บอนไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ใช้ได้จริง เพราะทั้งประเทศและบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซอย่างลึกซึ้งในตอนนี้ การจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5°C ต้องบรรลุการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ภายในปี 2050 ซึ่งหมายความว่าการปล่อย CO2 ต้องลดลงอย่างมากจากประมาณ 41.6 พันล้านตันในปี 2024
การใช้เครดิตคาร์บอนไม่เพียงแต่ทำให้การลดการปล่อยล่าช้า แต่ยังส่งเสริมให้ลงทุนต่อไปในเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5°C ซึ่งอาจทำให้การปฏิบัติเหล่านั้นฝังรากไปอีกหลายสิบปี คณะกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหราชอาณาจักร (UK Climate Change Committee) ซึ่งให้คำปรึกษาต่อรัฐบาลสหราชอาณาจักรด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศ เขียนไว้ว่า การซื้อการชดเชยคาร์บอนเพื่อให้สามารถใช้เทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซสูงต่อไป “ในระยะยาวจะทำให้การปล่อยก๊าซสูงกว่ากรณีที่นำเงินที่ใช้ไปกับ ‘การชดเชย’ มาลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำแทน”
การพึ่งพาการชดเชยคาร์บอนในปัจจุบันทำให้การปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้น
การทบทวนอย่างเป็นระบบ (systematic review) ของโครงการชดเชยคาร์บอนซึ่งครอบคลุมโครงการประมาณหนึ่งในห้าของเครดิตคาร์บอนทั้งหมดที่ออกมาจนถึงปัจจุบัน เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ประเมินว่า
“มีน้อยกว่า 16% ของเครดิตคาร์บอนที่ออกให้โครงการที่ถูกตรวจสอบซึ่งก่อให้เกิดการลดการปล่อยจริง”
อีก 84% ที่เหลือไม่ได้ก่อให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซจริง ซึ่งกลับทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นถึง 812 ล้านตัน เทียบเท่า “มากกว่าการปล่อย CO2 ต่อปีของเยอรมนี”
การสืบสวนอีกชิ้นหนึ่งโดย The Guardian และองค์กร Corporate Accountability ในปี 2023 พบว่า ในบรรดาโครงการชดเชย 50 โครงการที่ขายเครดิตได้มากที่สุด มีถึง 39 โครงการที่น่าจะไม่ได้สร้างการลดการปล่อยตามที่กล่าวอ้าง ส่วนโครงการที่เหลือก็มีปัญหา หรือไม่สามารถประเมินได้เนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ การประเมินโครงการเครดิตคาร์บอนกว่า 4,000 โครงการในปี 2024 โดยบริษัทลงทุนของสหรัฐฯ MSCI พบว่า 47% ถูกจัดว่าเป็นโครงการ “ความน่าเชื่อถือต่ำ” (low-integrity) หมายถึง ไม่ผ่านเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมส่วนใหญ่
การชดเชยที่ใช้ภายใต้กลไกบังคับก็มีผลลัพธ์ที่คล้ายกัน งานศึกษาในปี 2015 โดย สถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม (Stockholm Environment Institute) ที่ประเมินความน่าเชื่อถือด้านสิ่งแวดล้อมของเครดิตที่ออกภายใต้กลไก Joint Implementation ของพิธีสารเกียวโต พบว่า กลไกนี้ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั่วโลกสูงกว่าที่ควรจะเป็น หากประเทศต่าง ๆ ลดการปล่อยเองภายในประเทศ ประมาณ 600 ล้านตัน CO2e
ในทำนองเดียวกัน งานศึกษาในปี 2016 พบว่า 73% ของเครดิตที่ออกภายใต้กลไก Clean Development Mechanism (CDM) ในช่วงปี 2013–2020 มีโอกาสน้อยมากที่การลดการปล่อยจะ “เกิดขึ้นเพิ่มเติมจริง” (additional) และไม่ได้ถูกประเมินเกินจริง นอกจากนี้ การประเมินแยกต่างหากเกี่ยวกับโครงการเตาทำครัวสะอาดภายใต้ CDM ซึ่งเปลี่ยนเตาแบบดั้งเดิมเป็นเตาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า พบว่าโครงการเหล่านี้ “อาจไม่สามารถลดคาร์บอนได้ตามที่คาดหวัง หรือไม่สามารถสร้างประโยชน์ต่อสุขภาพและภูมิอากาศตามที่ระบุไว้”
โครงการชดเชยของรัฐบาลก็แสดงให้เห็นถึงผลกระทบในการลดการปล่อยที่จำกัดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การทบทวนโครงการฟื้นฟูป่าไม้พื้นถิ่น 182 โครงการ ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลียได้ซื้อเครดิตไปแล้วมูลค่า 204 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พบว่าโครงการเหล่านี้มีผลกระทบน้อยมากต่อการลดการปล่อยก๊าซ
มีน้อยมากที่การชดเชยคาร์บอนจะ “เกิดขึ้นเพิ่มเติมจริง”
แทบทั้งหมดของเครดิตคาร์บอนที่ออกมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเครดิตจากการ หลีกเลี่ยง หรือ ลด การปล่อยก๊าซคาร์บอน มีเพียงประมาณ 3% ของเครดิตในตลาดสมัครใจ (VCM) ในปี 2023 ที่มาจากการ กำจัด ก๊าซคาร์บอนโดยตรง
Additionality ของโครงการที่มุ่งหลีกเลี่ยงหรือการลดการปล่อยก๊าซนั้นพิสูจน์ได้ยาก เนื่องจากต้องสร้าง “สถานการณ์สมมุติ” (counterfactual scenario) มาแสดงให้เห็นว่าการลดการปล่อยก๊าซเกิดขึ้น เพราะ ได้แรงจูงใจจากรายได้ของเครดิตคาร์บอนเท่านั้น
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่หลายโครงการจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว โดยไม่ต้องพึ่งรายได้จากเครดิตคาร์บอน ตัวอย่างเช่น เนื่องจากเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในปัจจุบันมีราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลในหลายประเทศ เครดิตคาร์บอนหลายร้อยล้านตันที่มาจากโครงการพลังงานหมุนเวียนที่กำลังซื้อขายกันอยู่นั้น จึงน่าจะไม่ได้ “เกิดขึ้นเพิ่มเติม” จริง
การทบทวนโครงการกังหันลม 1,350 แห่งทั่วอินเดียพบว่า 52% ของโครงการเหล่านี้น่าจะถูกสร้างขึ้นอยู่แล้ว แม้จะไม่มีรายได้จากเครดิต CDM ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างไม่เหมาะสม และน่าจะทำให้การปล่อยก๊าซทั่วโลกเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน โครงการพลังงานหมุนเวียนมีโอกาสน้อยมากที่จะ “เกิดขึ้นเพิ่มเติม” ถึงขนาดที่หลายองค์กรจดทะเบียนตลาดสมัครใจรายใหญ่ เช่น Verra และ Gold Standard ไม่อนุญาตให้โครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่เข้ามาขึ้นทะเบียนแล้ว อย่างไรก็ตาม เครดิตจากพลังงานหมุนเวียนก็ยังสามารถซื้อได้อยู่ดี รายงานของ Bloomberg พบว่าในปี 2021
“หนึ่งในสามของเครดิตชดเชยคาร์บอนที่ซื้อจากโครงการ 100 อันดับที่ขายดีที่สุดนั้นมาจากพลังงานหมุนเวียน”
ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2025 โครงการพลังงานหมุนเวียนที่เชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าทุกโครงการ ที่ยื่นประเมินต่อ Integrity Council for the Voluntary Carbon Market (ICVCM) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลตลาดสมัครใจ ถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้ฉลาก Core Carbon Principles เพราะขาดความเป็น “Additionality”
ปริมาณการชดเชยมักถูกประเมินเกินจริง
ในทำนองเดียวกัน โครงการที่ออกเครดิตโดยอ้างว่าได้ลดหรือหลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายป่า หรือการเสื่อมโทรมของป่า ก็ตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากต้องแสดงหลักฐานว่า หากไม่ได้รับเงินทุนสนับสนุน ป่าที่มีอยู่จะถูกตัดหรือเสื่อมโทรมในอัตราที่สูงกว่า โครงการชดเชยคาร์บอนจากป่าไม้ถูกเปิดโปงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่ามีการดำเนินธุรกิจที่ฉ้อโกง เช่น
- การปั่นตัวเลขอัตราการตัดไม้ (baseline) ให้สูงเกินจริง ว่าหากไม่มีโครงการ ป่าจะถูกทำลายมากกว่านี้เพื่อสร้างเครดิตมากขึ้น
- การนับเครดิตจากต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้ว
- การขายเครดิตจากการรักษาป่าที่ในความจริงไม่ได้มีความเสี่ยงว่าจะถูกตัด
การวิเคราะห์หนึ่งพบว่า Verra ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานรับรองเครดิตคาร์บอนรายใหญ่ที่สุดของโลกประเมินภัยคุกคามจากการตัดไม้ทำลายป่าเกินจริงโดยเฉลี่ยถึง 400% ส่งผลให้กว่า 90% ของเครดิตชดเชยจากป่าไม้ที่ออกมา “ไม่ได้สะท้อนถึงการลดคาร์บอนจริง”
การสืบสวนในปี 2023 เกี่ยวกับโครงการหลีกเลี่ยงการตัดไม้ในซิมบับเวซึ่งออกเครดิตคาร์บอนถึง 42 ล้านตัน พบว่ามีเพียง 15 ล้านเครดิตเท่านั้นที่ลดการปล่อยก๊าซได้จริงเนื่องจากการปั่นตัวเลข baseline
ประเทศในสหภาพยุโรปก็ถูกเปิดโปงว่า ปั่นตัวเลขเป้าหมายการตัดไม้ เพื่อรับเครดิตคาร์บอนส่วนเกิน คิดเป็นมูลค่าเทียบเท่าการปล่อย CO2 กว่า 120 ล้านตัน
งานวิชาการหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า ความพยายามลดการปล่อยก๊าซผ่านโครงการ REDD (การลดการปล่อยก๊าซจากการตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมโทรมของป่า) และโครงการชดเชยคาร์บอนจากป่าไม้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ไม่ได้ช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า
การทบทวนเครดิตประเภท Improved Forest Management ซึ่งคิดเป็น 11% ของเครดิตตลาดสมัครใจทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน พบว่าการออกเครดิตประเภทนี้ ไม่สอดคล้องกับความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ และมีความเสี่ยงสูงที่จะประเมินปริมาณคาร์บอนที่ถูกกำจัดเกินจริง
การชดเชยคาร์บอนที่อิงกับธรรมชาติมีความเสี่ยงเรื่องการปล่อยกลับและการรั่วไหล
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของการชดเชยคาร์บอนแบบ nature-based offsets คือข้อสมมุติพื้นฐาน – ซึ่งไม่ถูกต้อง – ของกลไกการชดเชย นั่นคือ การถือว่าการปล่อยก๊าซทุกชนิดเทียบเท่าและทดแทนกันได้ (fungible) แต่ความจริงแล้ว การปล่อยคาร์บอนหนึ่งตันจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่อาจชดเชยอย่างเท่าเทียมด้วยการดูดซับคาร์บอนหนึ่งตันจากการปลูกป่า
คาร์บอนที่ปล่อยจากเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกกักเก็บอยู่ใต้พื้นโลกในรูปที่มั่นคงมานานนับล้านปี ในขณะที่คาร์บอนที่ป่าไม้ดูดซับได้จะถูกเก็บไว้ได้ดีที่สุดเพียงไม่กี่ทศวรรษ จนต้นไม้เริ่มย่อยสลาย ดังนั้น แม้ว่าการกักเก็บคาร์บอนในระบบนิเวศจะช่วยชะลอความร้อนระยะสั้นได้ เครดิตคาร์บอนที่อิงกับธรรมชาติไม่ควรถูกมองว่าเทียบเท่ากับการปล่อยจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
เครดิตคาร์บอนบางประเภทโดยเฉพาะโครงการที่อิงกับธรรมชาติ ยัง ขาดความยั่งยืนถาวร (permanence) มีความเสี่ยงสูงที่คาร์บอนที่กักเก็บไว้จะถูกปล่อยกลับสู่ชั้นบรรยากาศก่อนเวลาอันควร จากเหตุการณ์ตามธรรมชาติหรือจากมนุษย์ เช่น ไฟป่า หรือการตัดไม้ทำลายป่า
รายงานหนึ่งที่ศึกษาการหลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายในกัมพูชา โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม พบว่า หลังจากสี่ปี พื้นที่กว่าครึ่งถูกเคลียร์ป่าออกไป ในปี 2021 Los Angeles Times รายงานว่า โครงการชดเชยคาร์บอนจากป่าไม้ในแคลิฟอร์เนีย ยังคงขายเครดิตอยู่ แม้ว่าต้นไม้จำนวนมากถูกไฟป่าเผาทำลายไปแล้ว
นอกจากนี้ โครงการชดเชยที่พยายามลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยในพื้นที่หนึ่ง อาจทำให้การปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้น หรือ “รั่วไหล” ไปยังอีกพื้นที่หนึ่งแทน การทบทวนโครงการชดเชยคาร์บอนจากธรรมชาติในปี 2023 ชี้ว่า
“การรั่วไหลถูกประเมินต่ำไปอย่างมากในทางปฏิบัติ และความพยายามในการปรับปรุงวิธีการคำนวณในปัจจุบันก็ไม่น่าจะทำให้ได้ความแม่นยำที่จำเป็น”
เครดิตคุณภาพต่ำถูกออกมาเกินความต้องการ
มีการออกเครดิตคาร์บอนจำนวนมากที่มีโอกาสต่ำในการลดการปล่อยก๊าซจริง จนทำให้ตลาดเกิดภาวะ อุปทานล้น ข้อมูลจาก Berkley Carbon Trading Project ระบุว่า ปัจจุบันตลาดสมัครใจ (VCM) มีเครดิตส่วนเกินถึง 829 ล้านหน่วย นับเฉพาะที่ออกโดยหน่วยงานขึ้นทะเบียนหลัก 4 แห่ง
เนื่องจากอุปทานล้นตลาด ราคาของเครดิตจึงต่ำเกินกว่าจะสะท้อน ต้นทุนที่แท้จริงของคาร์บอน ซึ่งหมายความว่า ประเทศและบริษัทต่างๆ สามารถซื้อเครดิต “ด้อยคุณภาพ” ได้ในราคาถูกกว่าการลดการปล่อยก๊าซจริง
ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่วิเคราะห์กิจกรรมในตลาด VCM พบว่า ในช่วงปี 2020–2023 บริษัท 20 อันดับแรกที่ซื้อเครดิตชดเชยคาร์บอนมากที่สุด ส่วนใหญ่เลือกเครดิตคุณภาพต่ำและราคาถูก โดย 87% ของเครดิตเหล่านี้ “มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถสร้างการลดการปล่อยก๊าซที่จริงและเพิ่มเติม”
เครดิตส่วนใหญ่ที่บริษัทเหล่านี้ซื้อ มาจากโครงการอนุรักษ์ป่าไม้และโครงการพลังงานหมุนเวียน
ผู้ซื้อกระจายอยู่หลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ การบิน น้ำมันและก๊าซ สินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งในความเป็นจริง พวกเขามีทางเลือกในการลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานของตนเองได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า
โครงการชดเชยคาร์บอนก่อให้เกิดการฉ้อโกงและละเมิดสิทธิมนุษยชน
นอกจากจะไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ตามที่สัญญาไว้ โครงการชดเชยคาร์บอนยังถูกเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความขัดแย้งเรื่องที่ดิน ซึ่งมักจะผลักดันให้ชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นต้องออกจากพื้นที่ของตน
บ่อยครั้ง โครงการชดเชยถูกโฆษณาว่าออกแบบมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้ชุมชนในพื้นที่ แต่ในความจริง เงินทุนกลับตกไปอยู่ในกระเป๋าของคนกลางและผู้พัฒนาโครงการ หลายรายยังมีพฤติกรรมฉ้อโกง เช่น ปั่นตัวเลขความเสี่ยงของการตัดไม้ทำลายป่า (baseline) ให้เกินจริง เพื่อให้ตนเองมีสิทธิ์ได้รับเงินเพิ่มขึ้น
เนื่องจากการคำนวณการปล่อยคาร์บอนมีความซับซ้อน จึงมีช่องทางให้ประเทศและบริษัทต่างๆ ใช้กลยุทธ์ทางบัญชีเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายตนเอง
ข้อกังวลใหญ่ประการหนึ่งคือ ความไม่สอดคล้องกันของระบบบัญชีคาร์บอน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหา การนับซ้ำ (double counting) เช่น การลดการปล่อยก๊าซจากเครดิตเดียวกันถูกนับรวมทั้งโดยประเทศที่พัฒนาเครดิต และโดยประเทศที่ซื้อเครดิตนั้นไปใช้ ประเด็นนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ในการหารือเรื่องการใช้กลไกซื้อขายคาร์บอนภายใต้ความตกลงปารีส
การกล่าวอ้างเรื่องการชดเชยคาร์บอนก่อให้เกิดความเสี่ยงทางกฎหมาย
การกล่าวอ้างที่ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับผลลัพธ์จากการใช้การชดเชยคาร์บอน กำลังนำไปสู่ ความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและความเสี่ยงทางกฎหมายที่เพิ่มขึ้น สำหรับบริษัทต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่าศาลหลายแห่งเห็นพ้องกันว่า การชดเชยคาร์บอนไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น ในปี 2023 ศาลภูมิภาคแห่งหนึ่งในเยอรมนีมีคำตัดสินว่า คำโฆษณาที่สายการบิน Eurowings อ้างว่าบริษัทมีความเป็นกลางทางคาร์บอนด้วยการใช้การชดเชย เป็นการทำให้เข้าใจผิดและละเมิดกฎหมายเยอรมัน
คดีความลักษณะเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก จนทำให้บริษัทจำนวนมาก ยกเลิกการกล่าวอ้างเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และเป้าหมาย Net Zero ที่อิงกับการใช้การชดเชยคาร์บอน
มีทางเลือกอื่นในการระดมทุนเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ
แม้โครงการออกเครดิตคาร์บอนมักจะ จัดสรรเงินลงสู่ผู้ดำเนินโครงการในพื้นที่จริงเพียงเล็กน้อย แต่โครงการเหล่านี้ก็ถูกผลักดันให้เป็นกลไกในการระดมทุนด้านสภาพภูมิอากาศที่จำเป็นอย่างมากไปยังประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการปกป้องธรรมชาติซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนต่ำมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องทางอื่นที่เหมาะสมกว่าในการจัดสรรเงินทุนเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
ธุรกิจต่างๆ สามารถสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซและโครงการสภาพภูมิอากาศอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องอ้างสิทธิ์เครดิตคาร์บอน สถาบัน NewClimate แนะนำว่า บริษัทสามารถดำเนินการได้โดย กำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (internal carbon price) และใช้เงินที่ได้มาสนับสนุนโครงการสภาพภูมิอากาศนอกห่วงโซ่มูลค่าของตน การ “สนับสนุนสภาพภูมิอากาศ” (climate contribution) ที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็น
“พันธสัญญาทางการเงินที่เป็นส่วนเสริม – และไม่ใช่สิ่งมาทดแทน – การลดรอยเท้าคาร์บอนขององค์กรโดยตรง”
อุตสาหกรรมการชดเชยคาร์บอนได้สร้าง ภาพเล่าเรื่องว่าการระดมทุนมีอยู่อย่างจำกัด ในความเป็นจริง ปัญหากลับไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน แต่คือ วิธีจัดสรรและใครเป็นคนตัดสินใจ
ในปี 2022 ประเทศในซีกโลกเหนือ (Global North) ใช้เงินไปกับ เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่าการให้เงินช่วยเหลือด้านสภาพภูมิอากาศแก่ประเทศในซีกโลกใต้ (Global South) ถึงเกือบ 80 เท่า โดยในขณะที่พวกเขามอบเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเพื่อสภาพภูมิอากาศเพียง 31,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลับใช้งบประมาณมหาศาลอุดหนุนพลังงานฟอสซิล
งานวิจัยโดย Oil Change International ชี้ว่า หากประเทศร่ำรวย ยกเลิกการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลของภาครัฐและจัดเก็บภาษีคาร์บอนหรือภาษีด้านภูมิอากาศที่สูงขึ้น อาจระดมเงินได้กว่า 5.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อใช้แก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา
การดึงคาร์บอนจากบรรยากาศ(Carbon Removal) อาจมีบทบาทเพียงเล็กน้อยในการจำกัดภาวะโลกร้อน
นอกเหนือจากการลดและการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซ โครงการชดเชยคาร์บอนยังรวมถึงการดึงคาร์บอนจากบรรยากาศ (carbon removal) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย – ประมาณ 3% ของเครดิตในตลาดสมัครใจ (VCM) ในปี 2023
เนื่องจากเราได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปมากเกินไปแล้ว ทุกสถานการณ์จำลองที่สามารถจำกัดอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5°C หรือ 2°C ในรายงานล่าสุดของ คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) จึงรวมถึง การดึงคาร์บอนและกักเก็บคาร์บอนบางระดับออกจากบรรยากาศ สะท้อนถึง “ความจำเป็นในเชิงทฤษฎี” ที่จะต้องมีการกำจัดคาร์บอนในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง การดำเนินดึงคาร์บอนจากบรรยากาศเผชิญกับปัญหาหลายด้าน และการฝากความหวังไว้กับความเป็นไปได้ของการกำจัดคาร์บอนในระดับมหาศาลในอนาคต ถือว่า เสี่ยงสูงและไม่แน่นอนอย่างยิ่ง นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงคาร์บอนจากบรรยากาศในระดับพันล้านตันต่อปี ตามที่สถานการณ์จำลองกำหนดไว้เพื่อดึงอุณหภูมิกลับมาสู่ 1.5°C หรือ 2°C
แนวทางการดึงคาร์บอนจากบรรยากาศด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ยังไม่เคยพิสูจน์ว่าใช้ได้จริงในระดับอุตสาหกรรม และเผชิญกับอุปสรรคในการดำเนินการอย่างมาก เทคโนโลยีเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก (และน่าจะสูงกว่ามาตรการลดการปล่อยส่วนใหญ่ไปอีกนาน)
เทคโนโลยีในลักษณะเดียวกันที่ใช้จับคาร์บอนจากแหล่งกำเนิดการปล่อย (carbon capture and storage หรือ CCS) โดยเฉพาะที่ใช้อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ก็มีความคืบหน้าเชื่องช้าและมีประวัติ “ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง” ตามรายงานของ International Energy Agency ปี 2023 และถึงแม้จะสามารถทำงานในวงกว้างได้ เทคโนโลยีนี้ก็ ยิ่งทำให้การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลดำเนินต่อไป
ประเด็นทั้งหมดนี้ ตอกย้ำความจำเป็นในการดำเนินมาตรการลดการปล่อยที่มีอยู่แล้วทันที และเร่งลดการปล่อยก๊าซอย่างลึกและรวดเร็วในตอนนี้
หนทางข้างหน้า: แยกการชดเชยคาร์บอนออกจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
การใช้การชดเชยคาร์บอน ไม่สอดคล้องกับความจำเป็นทางวิทยาศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหลีกเลี่ยงภาวะโลกร้อนที่เกินระดับปลอดภัย การชดเชยคาร์บอนไม่ได้กำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศอย่างถาวร แต่กลับเป็น วิธีราคาถูกที่ทำให้บริษัทและประเทศต่างๆ สามารถปล่อยก๊าซต่อไปตามรูปแบบธุรกิจเดิม แทนที่จะลงทุนในมาตรการลดการปล่อยที่มีความหมายจริง
จากการวิเคราะห์ทะเบียนเครดิตคาร์บอนสมัครใจ 20 แห่ง สำหรับเครดิตที่ถูกยกเลิกการใช้งานระหว่างเดือนมกราคม 2020 ถึงธันวาคม 2022 พบว่า ผู้ใช้เครดิตคาร์บอนรายใหญ่ที่สุดคือผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล ผู้ผลิตรถยนต์ และบริษัทเทคโนโลยีบริษัทอย่าง Shell, Volkswagen และ Chevron – ซึ่งเป็น 3 บริษัทที่ซื้อเครดิตคาร์บอนมากที่สุด – ต่างมีทางเลือกในการลดการปล่อยก๊าซในธุรกิจของตนเอง
งานศึกษาที่วิเคราะห์วิธีการใช้การชดเชยคาร์บอนในกลยุทธ์ Net Zero ของบริษัทน้ำมันรายใหญ่ 4 แห่ง พบว่า ไม่มีบริษัทใดมีแผนจะยุติการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลจริงๆ
ท้ายที่สุดแล้ว การชดเชยคาร์บอนสร้างผลเสียมากกว่าผลดีต่อการลดการปล่อยโดยรวม ตลาดสมัครใจ (VCM) ล้มเหลวในการสร้างผลกระทบที่แท้จริง และยังคงมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ การใช้การชดเชยคาร์บอนโดยบริษัทและรัฐบาล จึงควรถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อไป การชดเชยจากการหลีกเลี่ยงและการลดการปล่อย ไม่มีที่ยืนในนโยบายภูมิอากาศที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริง
การลดการปล่อยโดยตรงควรเป็นทางเลือกแรกเสมอ และต้องมาก่อนการกำจัดคาร์บอน มาตรการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถจำกัดภาวะโลกร้อน (เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ และการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน) ยัง คุ้มค่ากว่าด้วย ปัจจุบันมีตัวเลือกการลดการปล่อยอีกหลากหลายที่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้เต็มศักยภาพ
การสนับสนุนการฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม และการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ควรดำเนินควบคู่กับมาตรการลดการปล่อยอื่นๆ และความจำเป็นเชิงทฤษฎีในการจูงใจให้เกิดการกำจัดคาร์บอนที่ถาวรและแท้จริง แต่การสนับสนุนเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งกลไกตลาดที่ซื้อขายเครดิตคาร์บอน
แหล่งทุนสามารถจัดหาได้จากช่องทางอื่น นอกเหนือจากรายได้จากการชดเชยคาร์บอน เช่น เงินทุนสาธารณะ รวมถึงรายได้จากการเก็บภาษีความมั่งคั่ง ภาษีเชื้อเพลิงฟอสซิล และการบริจาคเพื่อสภาพภูมิอากาศจากบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรมี การสนับสนุนโดยตรงและเฉพาะเป้าหมาย สำหรับประเทศที่มีพื้นที่ป่ามากและประเทศกำลังพัฒนา
หมายเหตุ:
การชดเชยคาร์บอนในตลาดสมัครใจ (VCM) ขณะนี้มีราคาประมาณ 1–10 ดอลลาร์สหรัฐต่อหน่วย (ข้อมูล ณ กุมภาพันธ์ 2025) รายงานของ High-Level Commission on Carbon Prices ปี 2017 ประเมินว่าราคาคาร์บอนควรอยู่ที่ 40–80 ดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2020 และ 50–100 ดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 จึงจะสอดคล้องกับเป้าหมายอุณหภูมิตามความตกลงปารีส งานวิจัยอื่นๆ ประเมินว่า ต้นทุนคาร์บอนที่แท้จริงสูงกว่านี้มาก อยู่ที่ประมาณ 185 ดอลลาร์สหรัฐต่อการปล่อย CO2 หนึ่งตัน
IPCC กำหนดวัตถุประสงค์สองประการสำหรับการกำจัดคาร์บอน ได้แก่ (1)เพื่อนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากกิจกรรมบางประเภทที่ยากต่อการลดการปล่อย (“hard-to-abate”) (2) เพื่อลดก๊าซ CO2 ส่วนเกินที่เราได้ปล่อยสะสมไปในอดีต เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาระดับการปล่อยให้อยู่ในงบประมาณคาร์บอน (ซึ่งงานวิจัยชี้ว่าเราน่าจะใช้เกินในอีก 6–10 ปี)
เช่นเดียวกับการชดเชยจากการหลีกเลี่ยงและการลดการปล่อย การกำจัดคาร์บอนไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อชดเชยการปล่อยที่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แม้เทคโนโลยีที่ใช้จะคล้ายกัน แต่การกำจัดคาร์บอน(carbon removal)จะจับก๊าซ CO2 ที่กระจายในบรรยากาศ ในขณะที่การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (carbon capture and storage – CCS) จะจับก๊าซที่ปล่อยออกมาจากแหล่งกำเนิดการปล่อยโดยตรงของกระบวนการอุตสาหกรรม
